ในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ หัวเมืองที่ตั้งอยู่ในบริเวณแหลมมลายูนั้นได้ถูกแบ่งตามลักษณะทางภูมิศาสตร์ เป็น ๒ อาณาเขต คือ หัวเมืองปักษ์ใต้ ได้แก่ หัวเมืองที่อยู่บริเวณทางชายทะเลอ่าวสยาม คือ มณฑลชุมพร มณฑลนครศรีธรรมราช มณฑลปัตตานี และ หัวเมืองทะเลตะวันตกหรือหัวเมืองฝ่ายตะวันตก ได้แก่ บรรดา หัวเมืองซึ่งอยู่ชายทะเลอ่าวเบงกอล คือ มณฑลภูเก็ต นอกจากนี้ ยังมีหัวเมืองมลายูประเทศราช คือ เมืองไทรบุรี เมืองกลันตัน เมืองตรังกานู ซึ่งหัวเมืองต่างๆ เหล่านี้เดินทางไปได้ยาก ตามพงศาวดารตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีนั้น ไม่เคยปรากฎเลยว่ามีพระเจ้าแผ่นดิน พระองค์ใดเสด็จไปประพาส จวบจนถึงรัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มีเรือกลไฟเป็นพระราชพาหนะแล้ว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงเสด็จไปประพาสหัวเมืองปักษ์ใต้ถึง ๒ ครั้ง เสด็จไปขนถึงเมืองสงขลา พ.ศ. ๒๔๐๑ (ร.ศ. ๗๗) และพ.ศ.๒๔๐๖ (ร.ศ. ๘๒) จนถึงเมืองปัตตานี
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จประพาสเมืองแหลมมลายูครั้งแรกเมื่อคราว เสด็จประพาสสิงคโปร์ และชวา พ.ศ. ๒๔๑๓ (ร.ศ. ๘๙) เมื่อครั้งเสด็จไปเมืองสิงคโปร์แวะประพาสเมืองสงขลา ต่อมาเสด็จไปอินเดีย พ.ศ. ๒๔๑๔ (ร.ศ. ๙๐) เที่ยวกลับได้เสด็จประพาสหัวทะเลฝ่ายตะวันตก เมืองภูเก็ต เมืองพังงา เมืองไทรบุรี แล้วเสด็จทางสถลมารคจากเมืองไทรบุรี ข้ามแหลมมลายูมาลงเรือ พระที่นั่งที่เมืองสงขลากลับกรุงเทพฯ อย่างไรก็ตาม การเสด็จประพาสหัวเมืองแหลมมลายูของพระองค์นั้นก็ทรงเว้นว่างถึง ๑๗ ปี ในระหว่างนั้นเสด็จ ประพาสแต่หัวเมืองใหญ่ฝ่ายตะวันออก และฝ่ายเหนือ มาจนถึง พ.ศ. ๒๔๓๑ (ร.ศ. ๑๐๗) จึงได้เสด็จประพาส หัวเมืองแหลมมลายู ทั้งในดินแดนไทยและอังกฤษทั่วทุกเมือง เว้นแต่เมืองกระบี่กับเมืองเนครีเซมบิลัน การเสด็จ หัวเมืองมลายูนี้มักเสด็จตามมณฑลปักษ์ใต้ในพระราชอาณาเขตเป็นหลัก
ในขณะที่เสด็จประพาสหัวเมืองทางไกลนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระราชนิพนธ์ จดหมายรายวัน ซึ่งแสดงรายการที่เสด็จในรูปแบบพระราชหัตถเลขาถึงเจ้านายฝ่ายในชั้นสูงที่ใกล้ชิดแทบทุกครั้ง เดิมพระราชหัตถเลขาเกี่ยวกับการเสด็จประพาสแหลมมลายูเหล่านี้ยังไม่เคยได้รับการตีพิมพ์ ต่อมาเมื่อมี พระราชประสงค์ให้พิมพ์หนังสือเป็นของพระราชทานในงานพระเมรุพระศพ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ามาลินี นพดาราศิรินิภาพรรณวดี กรมขุนศรีสัชนาลัยสุรกัญญา (พระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับพระวิมาดาฌอ กรมพระสุทธาสินีนาฏ) จึงโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพนักงานกรมราชเลขาธิการคัดสำนาพระราชหัตถเลขา เรื่องเสด็จประพาสแหลมมลายู ๔ คราว เป็นพระราชหัตถเลขา ๑๓ ฉบับ ส่งมายังหอสมุดวชิรญาณสำหรับพระนคร และโปรดเกล้าฯ ให้พระราชหัตถเลขาพิมพ์ในสมุดเล่มที่ขาดอยู่ ๑ ตอน คราวเสด็จประพาสสิงคโปร์เมื่อ ร.ศ. ๑๐๙ สันนิษฐานว่ามิได้ทรงมีเวลาพระราชนิพนธ์ การเสด็จประพาสทรงหาเวลาว่างได้ยาก สำหรับสาเหตุของการเสด็จ ประพาสแหลมมลายูนั้น เพราะพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวร พอพระอาการคลายขึ้น จึงเสด็จไปเปลี่ยนอากาศตามคำแนะนำของแพทย์ ส่วนการเสด็จประพาสแหลมมลายู ร.ศ. ๑๒๐ เป็นการเสด็จ ประพาสสิงคโปร์ ในการส่งเสด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนนครสวรรค์วรพินิต (พระอิสริยยศขณะนั้น) ซึ่งจะเสด็จกลับไปเล่าเรียนวิชา ณ ประเทศ เยอรมนี
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ได้เสด็จประพาสแหลมมลายูในต่างเส้นทาง และต่างวาระ รวมทั้งสิ้น ๗ ครั้งด้วยกัน และเสด็จโดยเรือพระที่นั่งอุบลบุรพทิศ เรือพระที่นั่งรองเวสาตรี และเรือพระที่นั่ง มหาจักรี ตามลำดับ
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ เป็นผู้มีพระวิสัยทัศน์และพระปรีชาสามารถหลายด้าน ได้แก่ ด้านปกครอง การทหาร การต่างประเทศ การศึกษา เป็นต้น ทรงปฏิบัติพระราชภารกิจต่าง ๆ มากมาย ที่นำความเจริญรุ่งเรืองมาให้แก่ประเทศและประชาชน จนบางครั้งทรงประชวร แพทย์จึงแนะนำให้พระองค์พักผ่อนเปลี่ยนอากาศ เพื่อคลายพระอาการขึ้น โดยเสด็จ ประพาสแหลมมลายูในปีรัตนโกสินทรศก ๑๐๘ (พ.ศ. ๒๔๓๒)
การเสด็จประพาสแหลมมลายูเกิดขึ้นหลายครั้ง ได้แก่ รัตนโกสินทรศก ๑๐๘ (พ.ศ. ๒๔๓๒) รัตนโกสินทรศก ๑๐๙ (พ.ศ. ๒๔๓๓) รัตนโกสินทรศก ๑๑๗ (พ.ศ. ๒๔๔๑) รัตนโกสินทรศก ๑๒๐ (พ.ศ. ๒๔๔๔) โดย เหตุที่พระองค์ทรงเชี่ยวชาญทางอักษรศาสตร์ จึงทรงมีพระราชนิพนธ์ในการเสด็จประพาสเป็นพระราชหัตถเลขา จำนวนหลายฉบับ
พระราชหัตถเลขาเรื่องเสด็จประพาสแหลมมลายู นับเป็นเอกสารที่มีคุณค่ายิ่งทั้งด้านประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ เศรษฐกิจ การคมนาคม และอื่นๆ จึงสมควรแก่การศึกษาวิจัย
นอกจากนี้ยังมีหัวเมืองมลายูประเทศราช คือ เมืองไทรบุรี เมืองกลันตัน เมืองตรังกานู หัวเมืองที่อยู่ใน แหลมมลายูนี้ แต่โบราณไปได้ยาก การเสด็จประพาสจึงปรากฏหลักฐานเพียงพระเจ้าแผ่นดินแห่งกรุง- รัตนโกสินทร์ ในเวลาที่มีเรือกลไฟเป็นพระราชพาหนะแล้ว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้เสด็จไปประพาสหัวเมืองปักษ์ใต้ถึง ๒ ครั้ง เสด็จไปจนถึงเมืองสงขลาและเมืองปัตตานี
ในรัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จประพาสหัวเมืองแหลมมลายูครั้งแรก เมื่อคราวเสด็จประพาสสิงคโปร์และชวา พ.ศ. ๒๔๑๓ ( ร.ศ. ๘๙ ) เมื่อครั้งขาเสด็จไปเมืองสิงคโปร์ แวะประพาสเมืองสงขลา ต่อมาเสด็จไปอินเดีย พ.ศ. ๒๔๑๔ ( ร.ศ. ๙๐ ) ขากลับได้เสด็จประพาส หัวทะเลฝ่ายตะวันตก เมืองภูเก็ต เมืองพังงา เมืองไทรบุรี แล้วเสด็จทางสถลมารคจากเมืองไทรบุรี ข้ามแหลมมลายูมาลงเรือพระที่นั่ง ที่เมืองสงขลากลับมากรุงเทพ ฯ
การเสด็จประพาสหัวเมืองแหลมมลายูทรงเว้นว่างถึง ๑๗ ปี ในระหว่างนั้นเสด็จประพาสแต่หัวเมือง ฝ่ายตะวันออกและฝ่ายเหนือ มาจนถึง พ.ศ. ๒๔๓๑ (ร.ศ.๑๐๗) จึงได้เสด็จประพาสหัวเมืองแหลมมลายู ทั้งในดินแดนของไทยและอังกฤษทั่วทุกเมือง เว้นแต่เมืองกระบี่ กับเมืองเนครีเซมบิลัน การเสด็จ หัวเมืองแหลมมลายูมักเสด็จตามมณฑลปักษ์ใต้ในพระราชอาณาเขตเป็นพื้น
ในขณะที่เสด็จประพาสหัวเมืองทางไกล ทรงพระราชนิพนธ์จดหมายรายการที่เสด็จแทบทุกครั้ง โดยทรง- พระราชนิพนธ์เป็นจดหมายรายวัน และทรงพระราชหัตถเลขาส่วนพระองค์ เช่น พระราชหัตถเลขา พระราชทานมาถึงสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ฯ เมื่อเสด็จไปยุโรปครั้งแรก โปรดเกล้าฯ ให้รวม เป็นหนังสือไกลบ้าน ทรงพระราชนิพนธ์เป็นพระราชหัตถเลขาบอกข่าว เช่น พระราชหัตถเลขาบอกข่าว มายังผู้รักษาพระนคร ต่อมามีพระราชประสงค์ให้พิมพ์หนังสือเป็นของพระราชทานที่ระลึกในงาน พระเมรุพระศพพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้ามาลินีนพดารา ศิรินิภาพรรณวดี กรมขุนศรีสัชนาลัยสุรกัญญา ทรงแจกในงานพระเมรุท้องสนามหลวง คราวเสด็จประพาสสิงคโปร์ ร.ศ. ๑๐๙ โปรดเกล้าฯ ให้ เจ้าพนักงานกรมราชเลขาธิการคัดสำเนาพระราชหัตถเลขาเรื่องเสด็จประพาสแหลมมลายู ๔ คราว เป็นพระราชหัตถเลขา ๑๓ ฉบับ ส่งมายังหอพระสมุดวชิรญาณสำหรับพระนคร
เสด็จประพาสแหลมมลายู ร.ศ. ๑๐๘ (พ.ศ. ๒๔๓๒)
เหตุที่เสด็จประพาสคราวนี้ เพราะทรงประชวร จึงเสด็จไปเปลี่ยนอากาศตามคำแนะนำของแพทย์ เสด็จโดยเรือพระที่นั่งอุบลบุรพทิศเป็นเรือพระที่นั่ง เรือเวสาตรีเป็นเรือพระที่นั่งรอง โดยเสด็จจาก ท่าราชวรดิษฐ์ - สมุทรปราการ - เกาะหลัก - เกาะง่าม - อ่าวหาดรี - เกาะกุลา - เกาะงัว - เกาะพงัน - เกาะสมุย - แหลมตะลุมพุก - สงขลา - พัทลุง - เที่ยวกลับ สงขลา - ตานี - เมืองเทพา - ไชยา - หลังสวน - กาญจนดิฐ - ชุมพร - ท่ายาง - สามร้อยยอด - ปราณบุรี - ปากน้ำเจ้าพระยา - ป้อมผีเสื้อสมุทร - ท่าราชวรดิษฐ์
เสด็จประพาสแหลมมลายู ร.ศ. ๑๐๙ (พ.ศ. ๒๔๓๓)
เหตุที่เสด็จประพาสคราวนี้ เพื่อตรวจตราราชการแผ่นดิน ดังปรากฏในพระราชนิพนธ์เรื่อง ระยะทางเสด็จพระราชดำเนินประพาสทางบก ทางเรือ รอบแหลมมลายู รัตนโกสินทรศก ๑๐๙ ว่า “ความประสงค์ที่จะมาเที่ยวครั้งนี้ ได้ปรารภมาแต่เมื่อออกมาเที่ยวปีกลายนี้ ด้วยได้ไปเที่ยว หัวเมืองตามฝั่งข้างตะวันออกแหลมทั่วแล้ว ยังไม่ทั่วแต่ข้างตะวันตกอย่างหนึ่ง เพราะได้เห็นแม่น้ำ เมืองกาญจนดิฐ ซึ่งตรงกับลำน้ำปากลาวฟากโน้น เป็นที่ราบจะขุดคลองได้ จึงเห็นปากลาวแห่งหนึ่ง เมื่อไปถึงสงขลา พระยาไทรข้ามมาหาทางบก ได้ถามถึงทางได้ความว่า ตอนสงขลาชำรุดมาก จึงสั่งให้ ซ่อมทางไว้ ถ้าทางเรียบร้อยก็เป็นอันเดินทางได้อีกอย่างหนึ่ง ครั้นขึ้นมาหลังสวน พระยาระนองมาพรรณา ถึงระยะทางที่ข้ามไปมาได้ใกล้ และทางโทรเลขที่ชุมพรตัดมาแล้ว จะไม่ต้องตัดทางใหม่อีกอย่างหนึ่ง”
เสด็จจากกรุงเทพฯโดยเรือพระที่นั่งสุริยมณฑลเป็นเรือพระที่นั่ง โปรดให้เรือพระที่นั่งอุบลบุรทิศไป คอยรับอยู่เมืองระนอง โดยเสด็จจาก สมุทรปราการ – ชุมพร – กระบุรี- มลิวัน – ระนอง – ภูเก็ต – พังงา – ตรัง -เกาะตรูเตา(แขวงเมืองไทรบุรี) - ลังกาวี- เกาะปีนัง –มะละกา – สิงคโปร์- ปาหัง – ตรังกานู –กลันตัน- สงขลา – หมู่เกาะช่องอ่างทอง – เกาะสมุย – เกาะพงัน –ชุมพร –สามร้อยยอด – ปากน้ำ
เสด็จประพาสคราว ร.ศ. ๑๑๗ ( พ.ศ.๒๔๔๑)
การเสด็จคราวนี้ได้เสด็จเยี่ยมเยียนราษฎรพร้อมพระราชทานสัญญาบัตร พร้อมเครื่องราช อิสริยาภรณ์ ที่เมืองกลันตัน - ตรังกานูด้วย เสด็จโดยเรือพระที่นั่งมหาจักรีเป็นเรือพระที่นั่ง โดยเสด็จท่าราชวรดิษฐ์ - สมุทรปราการ - เกาะพงัน - กาญจนดิษฐ์ - สงขลา - กลันตัน - ตรังกานู - เที่ยวกลับ สายบุรี- นครศรีธรรมราช - เกาะพงัน - เกาะลังกาจิ๋ว - ชุมพร - หลังสวน - ชุมพร - บางสะพาน - เกาะหลักประจวบ ฯ - เกาะสีชัง - พระสมุทรเจดีย์ - ท่าราชวรดิษฐ์
ผู้ที่ตามเสด็จพระราชดำเนินประพาสคราว ร.ศ. ๑๑๗ ( พ.ศ. ๒๔๔๑)
คือ สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ
เสด็จประพาสคราว ร.ศ. ๑๒๐ ( พ.ศ. ๒๔๔๔ )
การเสด็จประพาสแหลมมลายู ร.ศ.๑๒๐ ทรงเสด็จประพาสสิงคโปร์ ในการส่งสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนนครสวรรค์วรพินิต ซึ่งจะเสด็จกลับไปเล่าเรียนวิชา ณ ประเทศเยอรมนี ขึ้นรถไฟปากน้ำมาลงสมุทรปราการ แล้วเสด็จลงเรือพระที่นั่งสุริยมณฑล แล้วต่อเรือพระที่นั่งมหาจักรี โดยเสด็จจากสมุทรปราการ – ไปสิงคโปร์ กลับมาประจันตคีรี มาเกาะช้าง
ผู้ที่ตามเสด็จพระราชดำเนินประพาสคราว ร.ศ. ๑๒๐ ( พ.ศ. ๒๔๔๔)
คือ สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ
เสด็จประพาสคราว ร.ศ. ๑๐๘
เสด็จไปวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ร.ศ.๑๐๘ และเสด็จกลับในวันที่ ๑ สิงหาคม ร.ศ. ๑๐๘ เวลารุ่งเรือข้ามสันดอนเข้าสู่ปากน้ำเจ้าพระยา เวลาเช้าโมงเศษออกเรือพระที่นั่งต่อมาถึงท่าราชวรดิษฐ์ เทียบเรือพระที่นั่งเวลาเที่ยง
เสด็จประพาสคราว ร.ศ. ๑๐๙
เสด็จไปเวลาเช้า ๔ โมงเศษ วันที่ ๑๖ เมษายน ร.ศ. ๑๐๙ มาถึงสมุทรปราการ เวลาบ่ายสอง รอน้ำขึ้นจนถึงสองยามเศษจึงข้ามสันดอน เสด็จกลับในวันที่ ๒๒ มิถุนายน ร.ศ. ๑๐๙ ถึงกรุงเทพฯ
เสด็จประพาสคราว ร.ศ. ๑๑๗
เสด็จออกจากสมุทรปราการวันที่ ๒๓ มิถุนายน ร.ศ. ๑๑๗ เวลาเช้า ๒โมงเศษ จากวัดราชาธิวาส ล่องไปตามลำน้ำเจ้าพระยา เรือพระที่นั่งทอดที่ปากน้ำตรงร่องลึก รอเวลาน้ำขึ้น จนเวลาทุ่มหนึ่ง กับหนึ่งนาที จึงออกเรือพระที่นั่งข้ามสันดอน เสด็จกลับ วันที่ ๑๓ กรกฎาคม เวลาเช้า ๓ โมงครึ่ง ออกเรือพระที่นั่งเข้าปากน้ำที่ป้อมพระจุลและป้อมผีเสื้อสมุทร เวลาย่ำเที่ยงถึงท่าราชวรดิษฐ์
เสด็จประพาสคราว ร.ศ. ๑๒๐
เสด็จพระราชดำเนินประพาสเมืองสิงคโปร์ ในการส่งสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนนครสวรรค์วรพินิต ซึ่งจะเสด็จกลับไปเล่าเรียนวิชา ณ ประเทศเยอรมนี กำหนดจะได้เสด็จพระราชดำเนินจากกรุงเทพมหานคร ณ วันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ร.ศ.๑๒๐ ประมาณเวลา กว่าจะเสด็จกลับกรุงเทพมหานคร ราว ๑๕ ราตรี เสด็จออก วันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ร.ศ. ๑๒๐ เวลา เช้าโมงเศษ ขึ้นรถไฟปากน้ำลงมาถึงเมืองสมุทรปราการ เวลาสองโมงเศษ ลงเรือพระที่นั่งสุริยมณฑล มาถึงเรือพระที่นั่งมหาจักรี ทอดอยู่นอกสันดอน และออกในเวลาเที่ยง เสด็จกลับมีทอดที่เกาะช้าง ในวันที่ ๒ มีนาคม ร.ศ. ๑๒๐
เสด็จประพาสคราว ร.ศ.๑๐๘
เสด็จประพาสคราว ร.ศ.๑๐๙
เสด็จประพาสคราว ร.ศ.๑๑๗
ไม่ปรากฏชื่อเสนาบดีที่ตามเสด็จในคราวประพาสแหลมมลายู ร.ศ.๑๑๗
เสด็จประพาสคราว ร.ศ.๑๒๐
พระราชหัตถเลขาฉบับที่ ๑
เรือพระที่นั่งอุบลบุรทิศ ทอดปากอ่าวเมืองสงขลา วันที่ ๒๑ กรกฎาคม ร.ศ. ๑๐๘
วันที่ ๑๑ กรกฎาคม ร.ศ. ๑๐๘ เสด็จไปจากกรุงเทพ ฯ ออกจากเมืองสมุทรปราการ ทรงเมา-คลื่น และทรงบรรทม
วันที่ ๑๒ กรกฎาคม ร.ศ. ๑๐๘ เสด็จถึงเกาะหลัก ทอดที่อ่าวเกาะหลัก
วันที่ ๑๓ กรกฎาคม ร.ศ. ๑๐๘ เสด็จถึงชุมพร เสด็จขึ้นบกที่หน้าปากน้ำ พระยาชุมพรกับพระยาไชยา มาคอยรับเสด็จ
วันที่ ๑๔ กรกฎาคม ร.ศ. ๑๐ เสด็จถึงเกาะง่าม ทอดพระเนตรการทำรังนก เสด็จถึงเกาะลังกาจิ๋ว ทอดพระเนตรถ้ำรังนก
วันที่ ๑๕ กรกฎาคม ร.ศ. ๑๐๘ เสด็จถึงเกาะพงัน เสด็จประพาสเกาะพงัน และเกาะช่องอ่างทอง เสด็จดูถ้ำรังนก
วันที่ ๑๖ กรกฎาคม ร.ศ. ๑๐๘ เสด็จเกาะพงัน พระราชดำเนินไปตามลำธาร จารึกพระนามาภิไธยอักษร จ.ป.ร และศักราช ๑๐๘
วันที่ ๑๗ กรกฎาคม ร.ศ. ๑๐๘ เสด็จถึงเกาะสมุย ประทับแรมที่เกาะช่องอ่างทอง
วันที่ ๑๘ กรกฎาคม ร.ศ. ๑๐๘ เสด็จกลับมาที่อ่าวเสด็จเกาะพงัน ทรงจารึกอักษรไว้ที่หน้าผาตรงทรงสรงน้ำ ว่าธารเสด็จ
วันที่ ๑๙ กรกฎาคม ร.ศ. ๑๐๘ เสด็จประพาสแหลมตะลุมพุก เมืองนครศรีธรรมราช ประทับแรมที่ปากน้ำ เมืองสงขลา
วันที่ ๒๐ กรกฎาคม ร.ศ. ๑๐๘ เสด็จประพาสวัดมัชฌิมาวาส เมืองสงขลา
พระราชหัตถเลขาฉบับที่ ๒
เรือพระที่นั่งอุบลบุรทิศ ทอดปากอ่าวเมืองสงขลา วันที่ ๒๙ กรกฏาคม ร.ศ. ๑๐๘
วันที่ ๒๑ กรฎาคม ร.ศ. ๑๐๘ เสด็จขึ้นประทับบนพลับพลา กรมการและภรรยา ทั้งราษฎรชาวบ้าน มาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท
วันที่ ๒๒ กรฎาคม ร.ศ. ๑๐๘ เสด็จออกเรือ มีเรือกลไฟน้ำตื้นอยู่ ๓ ลำ คือ ทอนิครอฟต์ ลากเรือพระที่นั่ง ทรงเรือเซ็นต์ยอชลากเรือเจ้านาย เรือยาโรจูงเรือเครื่อง ผ่านป้อมเขาแดง ป้อมค่ายม่วง เสด็จเกาะยอ พักร้อน ที่หว่างบ้านปากบางกับบ้านแหลมต่อกัน ผ่านคลองหลวงจนถึงบ้านปาก พยูน ผ่านเกาะปราบ เกาะรังนก และเกาะยิโสซึ่งเป็นเกาะที่ ๒ ในหมู่เกาะ เกาะ ๕ ประทับที่พลับพลาซึ่งปลูกไว้ที่เกาะมวย พลับพลานี้เรียกว่า หน้าเทวดา คือ เป็นที่สานสำหรับรังนกไหว้เจ้าก่อนที่จะลงมือทำรังนก
วันที่ ๒๓ กรฎาคม ร.ศ. ๑๐๘ เสด็จทอดพระเนตรการสอยรังนกที่ถ้ำใหญ่
วันที่ ๒๔ กรฎาคม ร.ศ. ๑๐๘ ทรงจารึกอักษรพระปรมาภิไธย จ.ป.ร. ไว้ที่เพลิงศาลเทวดา เสด็จลงเรือไป เขาชันเป็นเกาะใหญ่หลังเมืองพัทลุงเป็นเกาะ เกาะ ๕ ทรงเสด็จทอดพระเนตรการไล่กระจง
วันที่ ๒๕ กรฎาคม ร.ศ. ๑๐๘ เสด็จถึงเมืองพัทลุงเสด็จประพาสเมืองพัทลุง อธิบายภูมิประเทศของเมือง พัทลุงและทะเลสาบ
วันที่ ๒๕ กรฎาคม ร.ศ. ๑๐๘ เสด็จลงเรือไปพัทลุง ประมาณ ๕ ชั่วโมง เสด็จขึ้นพลับพลาที่แหลมหาดทราย ปากคลองลำปำภาคเหนือ เวลาบ่ายเสด็จไปทอดพระเนตรจระเข้ แล้วก็เสด็จเลยไปเมืองพัทลุง ทางสถลมารค พระราชดำเนินผ่านวัดอนุราชธารามและตลาด และแวะที่บ้านพระยาจางวาง เลยไปวัดวังซึ่งเป็นวัดที่ใช้ถือน้ำ พิพัฒน์สัตยา เสด็จลงเรือ ๑๒ กรรเชียงล่องไปเพื่อทอดพระเนตรทางน้ำลำปำ
วันที่ ๒๖ กรกฎาคม ร.ศ. ๑๐๘ เสด็จออกจากพลับพลาไปทางสถลมารค คลองสะพานทอดพระเนตรเขาแดง เขาเมือง เขาอกทะลุ จนถึงเขาหัวแตก ที่หน้าเขาหัวแตกข้างตะวันออก ทางตอนใต้เรียกว่าคูหาสวรรค์ เขตวัดมีบ่อน้ำจืดสนิท ทรงปลูกพลับพลาประทับร้อน เสด็จขึ้นถ้ำน้ำเงิน ทรงจารึกอักษร จ.ป.ร. ไว้เพิงหน้าถ้ำ อนึ่ง ในเมืองพัทลุงมีไข้ทรพิษ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการปลูกฝีที่เมืองพัทลุงต่อไปทุกปี
วันที่ ๒๗ กรกฎาคม ร.ศ. ๑๐๘ เสด็จออกจากเมืองพัทลุงมาที่พลับพลาเกาะมวย เสด็จชมรังนก
วันที่ ๒๘ กรกฎาคม ร.ศ. ๑๐๘ เวลาย่ำรุ่ง ๕ นาที เสด็จออกจากเกาะ ๕ กลับมาสงขลา
วันที่ ๒๙ กรกฎาคม ร.ศ. ๑๐๘ เวลาบ่าย เสด็จขึ้นไปทอดพระเนตรที่ปั้นหม้อ ตำบลบ่อพลับเหนือ เพลาบ่าย เสด็จกลับเรือพระที่นั่ง
พระราชหัตถเลขาฉบับที่ ๓
เรือพระที่นั่งอุบลบุรทิศ วันที่ สิงหาคม ร.ศ. ๑๐๘
วันที่ ๓๐ กรกฎาคม ร.ศ. ๑๐๘ เสด็จจากสงขลาไปเมืองหนองจิก ประพาสวัดตุยง ผูกพัทธสีมา พระราชทาน เงินปฏิสังขรณ์วัด และพระราชทานชื่อวัดมุจลินทวาปีวิหาร การเสด็จครั้งนี้พระราชทานผูกพัทธสีมาอีก ๒ วัด คือ วัดทราย กับวัดนาโค
วันที่ ๓๑ กรกฎาคม ร.ศ. ๑๐๘ เสด็จทอดเรือพระที่นั่งตรงปากน้ำเมืองสาย โปรดพระยากลันตันและพระยาสาย เข้าเฝ้า และประพาสเมืองสาย
วันที่ ๑ สิงหาคม ร.ศ. ๑๐๘ โปรดเกล้า ฯ ให้พระยาวิชิตภักดีศรีสุรวังศาเจ้าเมือง พระยาพิทักษ์ธรรมสุนทร ผู้กำกับทำนุบำรุงราชการ พระศรีบุรีรัฐพินิจ รายามุดา พระพิพิธภักดี ผู้ช่วยราชการเมืองตานี เฝ้าทูลละออง พระบาทบนเรือพระที่นั่งอุบลบุรทิศ พระราชทานเครื่องราชอิสิริยาภรณ์เลื่อนชั้น แล้วจึงเสด็จวัดเมืองบางน้ำจืด ถวายผ้าไตรและเครื่องไทยทาน พระยาตานี จัดการเล่นมหรสพในการฉลองศาลา ทรงจัดซื้อผลไม้ ๘๙ เหรียญ ทรงติดแผ่นศิลาจารึก พระราชทานวัดบางน้ำจืดว่า วัดตานีนรสโมสร เสด็จทอดพระเนตรการอิฐและตลาด เสด็จบ้านพระยายิหริ่ง เสด็จกลับเมืองเทพาซึ่งเป็นเมืองขึ้นเมืองสงขลา
วันที่ ๒ สิงหาคม ร.ศ. ๑๐๘ เสด็จประพาสท่าเมืองยิหริ่ง ตลาดขายผ้าและของกิน และวัดเสด็จไปเมืองเทพา
วันที่ ๓ สิงหาคม ร.ศ. ๑๐๘ เสด็จขึ้นเกาะใหญ่อยู่หน้าบ้านพระเทพา ทอดพระเนตรการดักนกชัน เสด็จประพาส วัดเก่าวัดหนึ่งชื่อวัดเทพา พระราชทานว่าวัดเทพาไพโรจน์ หลวงประชาภิบาล ผู้ช่วยราชการเมืองยิหริ่ง และยิควน ซึ่งบุตรพระยายิหริ่งแปลง กับราษฎร ๓ ราย มาร้องฎีกา กล่าวโทษพระยายิหริ่ง ทรงเห็นควรว่า ควรจะยื่นที่ผู้รักษาเมืองสงขลาก่อน และได้ทรงตักเตือนพระยาสุนทรา ถ้าผิดจริงก็ให้ลงโทษได้ และเสด็จจาก เมืองเทพามาแวะเมืองสงขลา
พระราชหัตถเลขาฉบับที่ ๔
เรือพระที่นั่งอุบลบุรทิศ ทอดปากน้ำเมืองหลังสวน วันที่ ๑๐ สิงหาคม ร.ศ. ๑๐๘
วันที่ ๕ และ ๖ สิงหาคม ร.ศ. ๑๐๘ ทอดเรือที่ปากอ่าวเมืองไชยา เสด็จประพาสเมืองไชยา เสด็จประพาสบ้าน พระยาไชยา ทอดพระเนตรวัดสมุหนิมิตร ถวายเงินพระสงฆ์ ทอดพระเนตรตลาดเมืองไชยา วัดโพธาราม ทรงรับจัดปฏิสังขรณ์พระอุโบสถ รวมทั้งเรี่ยไรฝ่ายในการทำบุญปฏิสังขรณ์ พระอัครชายาพระองค์เจ้าสายสวลี ภิรมย์ กรมขุนสุทธาสินีนาถ ทรงทำบุญวันเกิดที่วัดนี้
วันที่ ๗ สิงหาคม ร.ศ. ๑๐๘ เสด็จไปเมืองกาญจนดิฐ หลวงพิพิธนำช้างพังสีประหลาดมาถวาย
วันที่ ๘ สิงหาคม ร.ศ. ๑๐๘ เสด็จประพาสตลาดริมวัดกลาง ถวายเงินพระสงฆ์วัดกลาง บ่ายสาม แล้วเสด็จไป ประทับแรมที่แหลมกันทุรี
วันที่ ๙ สิงหาคม ร.ศ. ๑๐๘ เสด็จเมืองหลังสวน เสด็จประพาสเมืองหลังสวน ประทับที่พลับพลาบางขันเงิน ซึ่งพระหลังสวนซื้อที่สวนของราษฎรไว้ ทอดพระเนตรพลับพลาและสวนผลไม้
วันที่ ๑๐ สิงหาคม ร.ศ. ๑๐๘ เสด็จประพาสถ้ำเขาเอ็น ทรงจารึกอักษรพระนาม จ.ป.ร. ไขว้กับศักราชที่เสด็จ ประพาส จากนั้นเสด็จวัดด่าน วัดตะโหนด ถวายเงินพระสงฆ์ และตลาดบางยี่โร เสด็จกลับเรืออุบลบุรทิศ และ ทรงกำหนดการออกจากเมืองหลังสวน วันที่ ๑๑ และจะทรงแวะเกาะพิทักษ์ แหลมกรวด สามร้อยยอด กำหนด จะถึงกรุงเทพ วันที่ ๑ สิงหาคม ร.ศ. ๑๐๘
พระราชหัตถเลขาฉบับที่ ๑
เรือพระที่นั่งมหาจักรี พลับพลาที่ประทับแรมเมืองชุมพร วันที่ ๑๙ เมษายน ร.ศ.๑๐๙
วันที่ ๑๙ เมษายน ร.ศ. ๑๐๙ เสด็จถึงสมุทรปราการ ทรงบูชาพระสมุทรเจดีย์คอยน้ำขึ้น เพื่อที่จะข้ามสันดร
วันที่ ๑๗ เมษายน ร.ศ. ๑๐๙ เสด็จเดินเรือทั้งกลางวันและกลางคืน
วันที่ ๑๘ เมษายน ร.ศ. ๑๐๙ เสด็จถึงเมืองชุมพร กรมหมื่นดำรงราชานุภาพ ได้มา รายงานที่เสด็จขึ้นไปตรวจระยะทางจากชุมพร ไปเมืองกระบุรี ในเรื่องพลับพลาที่ประทับ เสด็จขึ้นบกที่ชุมพร ที่บ้านท่าตะเภา
วันที่ ๑๙ เมษายน ร.ศ. ๑๐๙ มีการเกณฑ์ช้าง เพื่อที่จะใช้ในการทำทางจากเมืองชุมพร จนถึงเมืองกระบุรี
พระราชหัตถเลขาฉบับที่ ๒
เรือพระที่นั่งอุบลบูรทิศ ทอดที่เมืองภูเก็ต วันที่ ๓๐ เมษายน ร.ศ.๑๐๙
วันที่ ๒๐ เมษายน ร.ศ.๑๐๙ เสด็จถึงบ้านถ้ำสนุก ทอดพระเนตรนา และเสด็จต่อ ไปยังเมืองกระบุรี
วันที่ ๒๑ เมษายน ร.ศ. ๑๐๙ เสด็จผ่านเส้นทางพรหมแดนเมืองกระบุรีกับเมืองชุมพรต่อกัน ระหว่างทางมีการทำทางปักเสาไว้ เพื่อทำทางตามแบบทางสายโทรเลข จนถึงบริเวณลำธารน้ำตก ไปลงคลองเมืองกระบุรี ทรงจารึกอักษร จปร.และศักราช ๑๐๙ เสด็จไปประทับร้อนที่พลับพลา ริมธารน้ำต้นคลองกระลี้ เสด็จถึงพลับพลาริมลำน้ำปากจั่น
วันที่ ๒๒ เมษายน ร.ศ. ๑๐๙ ทรงลงเรือพระที่นั่งกรรเชียงล่องตามลำน้ำปากจั่น เสด็จถึงตำบลน้ำจืด อันเป็นเมืองท่าเรือใหญ่เข้ามาค้าขายได้ เสด็จล่องเรือถึงปากคลองพระขยาง เป็นพรหมแดนเมืองกระบุรีกับเมือง แล้วเสด็จประทับแรมที่ปากคลองเขมา
วันที่ ๒๓ เมษายน ร.ศ. ๑๐๙ เสด็จถึงเกาะขวาง ทรงรับทราบปัญหาแผนที่อังกฤษทำไม่ตรงกัน กับหนังสือสัญญา ในเรื่องเกาะของไทยและของ ทรงทอดสมอที่ใต้เกาะฝี ปากอ่าวเมืองระนอง เสด็จแหลมเกาะสอง ซึ่งอังกฤษเรียกว่า วิกตอเรียปอยนต์ เสด็จเข้าปากอ่าวเมืองระนอง เสด็จโดยรถพระที่นั่งผ่านบริเวณตลาด เสด็จถึงพลับพลาที่ประทับ
วันที่ ๒๔ เมษายน ร.ศ. ๑๐๙ เสด็จตลาดเก่า ถึงบ้านเก่าของพระยารัตนเศรษฐี ซึ่งตั้งอยู่ที่ หาดใกล้ฝั่งคลองต้นคลอง ซึ่งทำเหมืองแร่ดีบุก เวลาบ่าย ทรงเสด็จบ่อน้ำร้อน
วันที่ ๒๕ เมษายน ร.ศ. ๑๐๙ เสด็จบ้านใหม่ของพระยาระนอง จากบ้านพระยาระนอง
วันที่ ๒๖ เมษายน ร.ศ. ๑๐๙ เสด็จที่ฝังศพพระยาดำรงสุจริต (คอซูเจียง) เสด็จต่อไปดู การทำเหมืองและเสด็จกลับลงเรือออกจากอ่าวระนอง ไปทอดที่อ่าวภูจืด ซึ่งอยู่ใกล้กับเกาะวิกตอเรีย
วันที่ ๒๗ เมษายน ร.ศ. ๑๐๙ ออกเดินทางช่องหว่างเกาะเสี่ยงไหกับเกาะช้าง ถึงปากอ่าวที่เรียกว่า ปากกุราทรงทอดเรือพระที่นั่งอุบลบุรทิศที่เกาะเสม็ดน้อยเหนือเกาะหนูขึ้นไปประทับที่พลับพลา
วันที่ ๒๘ เมษายน ร.ศ. ๑๐๙ เสด็จลงเรือทอดพระเนตรภูมิประเทศของเมืองตะกั่วป่า ทอดพระเนตรกระบือชน เสด็จประพาสเมืองตะกั่วป่า บ้านพระยาเสนานุชิต ตลาด โรงถลุงเเร่
วันที่ ๒๙ เมษายน ร.ศ. ๑๐๙ เสด็จตามชายเขา เพื่อทอดพระเนตรเห็นความเป็นอยู่อย่างปกติ ของราษฏร ประทับแรมที่หน้าเกาะเสม็ดน้อย
วันที่ ๓๐ เมษายน ร.ศ. ๑๐๙ ออกเรือพระที่นั่งเวลา ๑๑ ทุ่ม เดินทางช่องเรียกว่า ปากปั่น ทอดเรือพระที่นั่งที่เมืองภูเก็ต
พระราชหัตถเลขาฉบับที่ ๓
เรือพระที่นั่งอุบลบุรทิศทอดที่เกาะลังกาวี วันที่ ๑๐ พฤษภาคม ร.ศ. ๑๐๙
วันที่ ๑ พฤษภาคม ร.ศ. ๑๐๙ เสด็จขึ้นภูเก็ต ประทับที่พลับพลา ประพาสหลายตำบล เสด็จนอกเกาะยาวที่เรียกว่า ปุสูปันยัง เสด็จไปจอดเรือพระที่นั่งรออยู่ที่หัวเกาะยาวน้อย
วันที่ ๒ พฤษภาคม ร.ศ. ๑๐๙ เรือพระที่นั่งทอดระหว่างเกาะหมากกับเกาะสลัด เสด็จปากช่อง จะเข้าเมืองตะกั่วทุ่ง เสด็จไปถึงเขาม้าแก้วกับเขาตักน้ำ เสด็จขึ้นเมืองตะกั่วทุ่ง อันเป็นพรมแดน กับเมืองพังงา เสด็จกลับเรือพระที่นั่งถึงเกาะหมาก
วันที่ ๓ พฤษภาคม ร.ศ. ๑๐๙ เสด็จเมืองพังงา ประทับแรม ๑ คืน
วันที่ ๔ พฤษภาคม ร.ศ. ๑๐๙ ประพาสวัดประพาสประจิมเขต เสด็จกลับลงเรือ
วันที่ ๕ พฤษภาคม ร.ศ. ๑๐๙ เสด็จลงเรือเข้าไปลำน้ำปากลาว แล้วกลับมาขึ้นที่เกาะหมาก ทรงจอดเรือพระที่นั่งที่เกาะหมาก เพราะว่าในระยะ ๓ วันนี้ มีลมพายุช่วงเปลี่ยนฤดู
วันที่ ๖ พฤษภาคม ร.ศ. ๑๐๙ แต่เดิมจะเสด็จประพาสที่กระบี่และประกาใส เมื่อวันเกินกำหนด การจึงเสด็จไปเกาะลันตา ประทับแรม
วันที่ ๗ พฤษภาคม ร.ศ. ๑๐๙ เสด็จเข้าไปแม่น้ำเมืองตรัง ประทับแรมเมืองตรัง
วันที่ ๘ พฤษภาคม ร.ศ. ๑๐๙ เสด็จกลับเรือพระที่นั่ง ประทับแรมในลำน้ำ ๑ คืน
วันที่ ๙ พฤษภาคม ร.ศ. ๑๐๙ เสด็จถึงเกาะตรูเตา แขวงเมืองไทรบุรี
วันที่ ๑๐ พฤษภาคม ร.ศ. ๑๐๙ ทอดเรือพระที่นั่งที่อ่าวคัวเกาะลังกาวี ประทับ ๒ คืน ประพาสเกาะลังกาวี
พระราชหัตถเลขาฉบับที่ ๔
เรือพระที่นั่งอุบลบุรทิศ บ้านสยามเมืองสิงคโปร์ วันที่ ๗ มิถุนายน ร.ศ. ๑๐๙
วันที่ ๑๐ พฤษภาคม ร.ศ. ๑๐๙ ออกเรือจากตรูเตาถึงลังกาวี เสด็จตำบลคัว เวลาเย็นเสด็จ ประพาสไล่กระจง
วันที่ ๑๑ พฤษภาคม ร.ศ. ๑๐๙ ลงเรือฮ่องกงเสด็จขึ้น ที่ท่านอก เรียกว่า บุเราตะลากา แปลว่า บ่อโบราณ ซึ่งมีลักษณะซึ่งเกิดจากน้ำตกเซาะหน้าหิน จนเป็นบ่อใหญ่เป็นบ่อๆ ประทับแรมที่ตำบลคัว
วันที่ ๑๒ พฤษภาคม ร.ศ. ๑๐๙ เสด็จขึ้นที่ดะยาบุนติง แปลว่า นางมีครรภ์ เป็นทะเลสาบน้ำจืด เวลาค่ำ เสด็จที่คัวจะริตะ ถ้ำจารึก มีหนังสืออาหรับโบราณที่หน้าผาและถ้ำ กลางคืนเสด็จ เรือพระที่นั่งไปเมืองไทรบุรี
วันที่ ๑๓ พฤษภาคม ร.ศ. ๑๐๙ เสด็จขึ้นเมืองไทรบุรี ประทับที่อะนะปูเกต
วันที่ ๑๔ พฤษภาคม ร.ศ. ๑๐๙ เสด็จบาไลเบซา คือ ศาลากลางและตลาด
วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ร.ศ. ๑๐๙ ไปละงะที่มรหุ่มฝังศพญาติวงศ์สุลต่านเมืองไทรบุรี ทอดพระเนตรละครแขก “บังซาวัน” ซึ่งเลียนแบบละครฝรั่ง
วันที่ ๑๖ พฤษภาคม ร.ศ. ๑๐๙ เสด็จบ้านพระยาสุรพล ทอดพระเนตรไล่หมูป่า และชนโคชนกระบือ
วันที่ ๑๗ พฤษภาคม ร.ศ. ๑๐๙ เสด็จเมืองปีนัง เวลาค่ำ เสด็จอยู่ที่เรือนระนอง
วันที่ ๑๘ พฤษภาคม ร.ศ. ๑๐๙ เสด็จออกรับเรสิเดนต์เคาน์ซิลเลอร์ เวลาเย็นประพาสน้ำตก
วันที่ ๑๙ พฤษภาคม ร.ศ. ๑๐๙ เสด็จประพาสคอเวอนเมนต์ออฟฟิศ เตาน์ฮอลบ้าน เรสิเดนต์เคาน์ซิลเลอร์
วันที่ ๒๐ พฤษภาคม ร.ศ. ๑๐๙ เสด็จลงเรือพระที่นั่งไปเข้าคลองกวาลามุดา เสด็จทางสถลมารคบริเวณโปรวินศ์เวลเลสลีมาลงเรือพระที่นั่งที่บากันตวนกะจิ ข้ามกลับมา เกาะปีนัง
วันที่ ๒๑ พฤษภาคม ร.ศ. ๑๐๙ เสด็จขึ้นไปเสวยพระกระยาหารที่เขาสูง ริมสายน้ำตกใน สวนเต็กซุน
วันที่ ๒๒ พฤษภาคม ร.ศ. ๑๐๙ เสด็จลงเรือพระที่นั่ง ข้ามไปขึ้นที่ท่าบัดเตอเวอท ประพาสทางบกที่ตำบลกุเล็มในแขวงเมืองไทรบุรี เสด็จกลับลงเรือที่ลำแม่น้ำไปร ออกมาปากอ่าว เสด็จขึ้นที่เกาะปีนัง
วันที่ ๒๓ พฤษภาคม ร.ศ. ๑๐๙ ทอดพระเนตรคุก โรงพยาบาล และสวนจีนหลีปี่เยี่ยว
วันที่ ๒๔ พฤษภาคม ร.ศ. ๑๐๙ ทอดพระเนตรวัดนางชี สวนจีนซูอูนกีออง และบ้านสวน พระยายุทธการ เวลาค่ำลงเรือพระที่นั่งประทับแรมที่ปุโลสิเมา
วันที่ ๒๕ พฤษภาคม ร.ศ. ๑๐๙ เสด็จลงเรือเลดีเวลด์ไปเข้าลำแม่น้ำลารุต เสด็จขึ้นรถไฟ ที่ปอตเวลด์ไปตำบลไต้แผง พบกับบรายายุสพที่เรียกว่า สุลต่านอีกรีส์และญาติวงศ์
วันที่ ๒๖ พฤษภาคม ร.ศ. ๑๐๙ เสด็จถึงเรือพระที่นั่งอุบลบุรทิศซึ่งล่วงหน้ามาคอยรับที่ ปุโลดินดิง ออกเรือพระที่นั่งไปเข้าแม่น้ำกลัง ทอดเรือพระที่นั่งอยู่ข้างนอก เรือพระที่นั่งเวสาตรี แล่นตามมาภายหลัง
วันที่ ๒๗ พฤษภาคม ร.ศ. ๑๐๙ รายาสะเลมันเป็นรายามุดาเมืองสลางอ มารอรับเสด็จ และนำเสด็จไปในแม่น้ำกลัง ต้องรออีก ๑ วัน ตามโปรแกรม
วันที่ ๒๘ พฤษภาคม ร.ศ. ๑๐๙ เสด็จขึ้นรถไฟจากกวาลากลังไปกวาลาลุมปอ เสด็จกลับล่องน้ำ มาหยุดรอที่ปากอ่าว
วันที่ ๒๙ พฤษภาคม ร.ศ. ๑๐๙ เสด็จออกจากปากอ่าวแม่น้ำกลัง ถึงมะละ
วันที่ ๓๐ พฤษภาคม ร.ศ. ๑๐๙ ถึงเมืองสิงคโปร์ ประทับอยู่ที่เรือนสยาม
วันที่ ๓๑ พฤษภาคม ร.ศ. ๑๐๙ เสด็จออกรับแอตติงคอเวอนเนอ เสด็จโรงพยาบาล
วันที่ ๑ มิถุนายน ร.ศ. ๑๐๙ เสด็จไปที่ห้างแล้วเลยไปเสวยพระสุธารสที่บ้านเจ้าเมือง
วันที่ ๒ มิถุนายน ร.ศ. ๑๐๙ ไปแบงก์โปสออฟฟิศคลาบ เวลาค่ำทอดพระเนตรออปรา ที่เตาน์ฮอล
วันที่ ๓ มิถุนายน ร.ศ. ๑๐๙ ไปแรฟฟลสกูล และแองโคลไชนีสสกูล เสด็จไปมิวเซียม โรงจักรสูบน้ำ และห้าง
วันที่ ๔ มิถุนายน ร.ศ. ๑๐๙ ทอดพระเนตรที่ทำน้ำแข็งและน้ำมัน และไปการ์เดนปาตี เซอชาลส์วาเรน คือ สวนนายพลบังคับการทหารในสิงคโปร์ เวลาค่ำเสด็จไปเวตดินเนอ ที่คอเวอนเมนต์เฮาส์
วันที่ ๕ มิถุนายน ร.ศ. ๑๐๙ เสด็จลงเรือพระที่นั่งไปทอดพระเนตรอู่ตันยงปากา และเรือเมล์เยอรมัน
วันที่ ๖ มิถุนายน ร.ศ. ๑๐๙ เสด็จทอดพระเนตรคุกและทหารตรุบปิงคอเลอ ที่ตังลินแบแรก
วันที่ ๗ มิถุนายน ร.ศ. ๑๐๙ เสด็จบ้านสวนพระยาอนุกูล เสด็จการรับรองของพวกทหาร ที่ป้อมแคนนิง เสด็จออกเรือพระที่นั่งจากสิงคโปร์
สำเนาส่งกับพระราชหัตถเลขาฉบับที่ ๔
พระราชหัตถเลขาฉบับนี้ เป็นการบอกข้อความอย่างพิสดาร ตั้งแต่วันที่ ๓ เดือนพฤษภาคม
พระราชหัตถเลขาฉบับที่ ๕
เรือพระที่นั่งอุบลบุรทิศ ทอดที่ปากน้ำเมืองสงขลา วันที่ ๑๕ มิถุนายน ร.ศ. ๑๐๙
วันที่ ๘ มิถุนายน ร.ศ. ๑๐๙ เวลาย่ำรุ่ง เสด็จลงเรือพระที่นั่งที่ยอนซันเปียร์ และเสด็จ ออกจากสิงคโปร์
วันที่ ๙ มิถุนายน ร.ศ. ๑๐๙ ถึงปากอ่าวเมืองปาหัง เสด็จตามลำน้ำถึงตำบลปะกัน เสด็จขึ้นเรสิเดนซี่อังกฤษ พบกับตนกูมหมุดลูกสุลต่าน
วันที่ ๑๐ มิถุนายน ร.ศ. ๑๐๙ เสด็จถึงตำบลขมามัน เป็นตำบลบ้านใหญ่ในเขตเมืองตรังกานู เสด็จไปตรวจดูเขตแดนเมืองตรังกานูต่อกับเมืองปาหังที่คลองเจอรตินนอกบูเกตสเตงเงาะ
วันที่ ๑๑ มิถุนายน ร.ศ. ๑๐๙ เสด็จขึ้นไปทอดพระเนตรที่ตำบลบ้านขมามัน ซึ่งเป็นหมู่บ้าน ใหญ่กว่าเมืองปะกัน เวลาเย็นเสด็จกลับลงเรือพระที่นั่งไปเมืองตรังกานู
วันที่ ๑๒ มิถุนายน ร.ศ. ๑๐๙ เสด็จถึงเมืองตรังกานู
วันที่ ๑๓ มิถุนายน ร.ศ.๑๐๙ ถึงเมืองกลันตัน เวลาค่ำแวะจอดที่ฮิลลิเคป เมืองสาย
วันที่ ๑๔ มิถุนายน ร.ศ. ๑๐๙ เสด็จถึงเมืองหนองจิก
วันที่ ๑๕ มิถุนายน ร.ศ. ๑๐๙ ถึงเมืองสงขลา เสด็จทอดพระเนตรเขาวงก์ ที่แหลมสมีรา ประพาสที่เมืองสงขลา
วันที่ ๑๖ – ๑๗ – ๑๘ มิถุนายน ร.ศ. ๑๐๙ เสด็จประพาสหมู่เกาะช่องอ่างทอง เกาะสมุย และเกาะพงัน
วันที่ ๑๙ มิถุนายน ร.ศ. ๑๐๙ ประทับอยู่ที่เมืองชุมพร
วันที่ ๒๐ มิถุนายน ร.ศ. ๑๐๙ ประทับอยู่ที่สามร้อยยอด
วันที่ ๒๑ มิถุนายน ร.ศ. ๑๐๙ เสด็จออกจากสามร้อยยอด ไปประทับที่ปากน้ำ
วันที่ ๒๒ มิถุนายน ร.ศ. ๑๐๙ เสด็จถึงกรุงเทพฯ
สำเนาที่ ๑ ส่งพร้อมกับพระราชหัตถเลขาฉบับที่ ๕ พระองค์ท่านได้มีพระราชาธิบายรายละเอียด เกี่ยวกับการเสด็จประพาส วันที่ ๕ พฤษภาคม ร.ศ. ๑๐๙ ถึง วันที่ ๑๓ พฤษภาคม ร.ศ. ๑๐๙ เสด็จถึงเมืองไทรบุรี
สำเนาที่ ๒ ส่งพร้อมพระราชหัตถเลขาฉบับที่ ๕ เป็นรายละเอียดเกี่ยวกับการเสด็จประพาส วันที่ ๑๔ พฤษภาคม ร.ศ. ๑๐๙ ถึง วันที่ ๒๐ พฤษภาคม ร.ศ. ๑๐๙
พระราชหัตถเลขาฉบับที่ ๑
เรือพระที่นั่งมหาจักรี อ่าวเมืองนครศรีธรรมราช วันที่ ๒ กรกฎาคม ร.ศ. ๑๑๗
วันที่ ๒๔ มิถุนายน ร.ศ. ๑๑๗ เสด็จ ถึงเกาะพงัน ประทับแรมที่เกาะพงัน
วันที่ ๒๕ มิถุนายน ร.ศ. ๑๑๗ ทอดที่อ่าวธารเสด็จ เสด็จประพาสธารน้ำตก พระราชทานชื่อว่าธารประเวศ จารึกอักษร จ.ป.ร.และชื่อธาร
วันที่ ๒๖ มิถุนายน ร.ศ. ๑๑๗ เสด็จถึงเมืองสงขลา เสด็จนมัสการเจดีย์ทอดพระเนตร ศาลาที่สร้างไว้ที่เขาตังกวน สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชินีนาถประพาสตลาด
วันที่ ๒๗ มิถุนายน ร.ศ. ๑๑๗ เสด็จออฟฟิศที่ว่าการเมืองและศาลามณฑล ศาลอำเภอ ทอดพระเนตรตลาดวัดมัชฌิมาวาส เสด็จพระราชดำเนินขึ้นรถพระที่นั่งทอดพระเนตร ถนนนอกกำแพงเมือง
วันที่ ๒๘ มิถุนายน ร.ศ. ๑๑๗ เสด็จทรงม้าไปสวนพระยาวิเชียรคีรี (ชม ณ สงขลา) ที่หน้าเขาเทวดา ทางนี้เป็นต้นทางที่จะไปเมืองไทรบุรี เสด็จออกเรือพระที่นั่ง
วันที่ ๒๙ มิถุนายน ร.ศ. ๑๑๗ เสด็จถึงเมืองกลันตัน
วันที่ ๓๐ มิถุนายน ร.ศ. ๑๑๗ เสด็จตรังกานู เสด็จประพาสตลาด เสด็จออกจากเมือง ตรังกานูที่เกาะลิดัง
วันที่ ๑ กรกฎาคม ร.ศ. ๑๑๗ เสด็จถีงบางนาราแขวงเมืองสายบุรี ประพาสเมืองสายบุรี
พระราชหัตถเลขาฉบับที่ ๒
เรือพระที่นั่งมหาจักรี เมืองหลังสวน วันที่ ๙ กรกฎาคม ร.ศ. ๑๑๗
วันที่ ๒ กรกฎาคม ร.ศ. ๑๑๗ เสด็จถึงอ่าวเมืองนครศรีธรรมราชประทับแรม เสด็จถึงบ้าน ปากกะพูน นมัสการถวายพุ่มพระพุทธรูป และทรงประเคนเทียนและผ้าไตรที่วัดพระบรมธาตุ พระราชดำเนินชั้นทักษิณพระบรมธาตุสมโภชพระมหาธาตุ แล้วทอดพระเนตรละคร เรื่องอิเหนา และดอกไม้เพลิง ประทับแรมเมืองนครศรีธรรมราช
วันที่ ๔ กรกฎาคม ร.ศ. ๑๑๗ ทอดพระเนตรละครโนห์รา ทรงพระราชดำริปฏิสังขรณ์พระบรม เสด็จพระราชดำเนินไปที่ศาลชำระความ แล้วเสด็จนมัสการพระที่หอพระพุทธสิหิงค์ ในตอนค่ำทอดพระเนตรละคอนเรื่องรามเกียรติ์
วันที่ ๕ กรกฎาคม ร.ศ. ๑๑๗ เสด็จประพาสที่สนามหน้าเมือง ภายหลังทรงทอดพระเนตร ละคอนของพิณ เรื่อง อิเหนา
วันที่ ๖ กรกฎาคม ร.ศ. ๑๑๗ เสด็จทอดพระเนตรที่ขังนักโทษ เสด็จวัดพระบรมธาตุ และหลักเมือง เสด็จประพาสผ่านสวนป่าละเมาะ โปรดเกล้าฯพระราชทานนามว่า สวนราชฤดี เสด็จกลับลงเรือพระที่นั่งมหาจักรี
วันที่ ๗ กรกฎาคม ร.ศ. ๑๑๗ เสด็จถึงเกาะพงัน ทอดเรือพระที่นั่งที่อ่าวธารเสด็จ ทรงจารึก อักษรพระนาม จ.ป.ร. ทรงฉายพระรูปและประทับสรงน้ำเสด็จต่อโดยเรือพระที่นั่งถึงปากน้ำ เมืองหลังสวน
วันที่ ๘ กรกฎาคม ร.ศ. ๑๑๗ ประพาสเกาะลังกาจิ๋ว ทรงจารึกอักษรพระนาม จ.ป.ร. ที่ปากถ้ำเล็ก แล้วทรงฉายพระรูปเสด็จกลับลงเรือพระที่นั่งจักรี กลับมาทอดเรือพระที่นั่งเมืองหลังสวน ต่อมาถึงตำบลบางยี่โร ย่ำค่ำทอดพระเนตรละคอนของพระยาจรูญราชโภคากร เล่นจากระบำ และต่อเรื่องเสภา ตอนนางวันทองห้ามทัพ
วันที่ ๙ กรกฎาคม ร.ศ. ๑๑๗ เสด็จทรงช้างพระที่นั่งถึงเขาเงิน นมัสการพระเจดีย์ และพระพุทธรูปในถ้ำ ทรงจารึกศิลา ร.ศ. ๑๑๗ ที่อักษรพระนาม เวลากลางคืนทอดพระเนตร ละคอนเรื่อง เจ้าเงาะเมื่อตีคลี
วันที่ ๑๐ กรกฎาคม ร.ศ. ๑๑๗ เสด็จออกหลังสวนถึงชุมพร เสด็จประทับที่บ้านปากน้ำ เสด็จขึ้นพระราชดำเนินพักฝนที่ด่านภาษี เสด็จพระราชดำเนิน ณ เขามัทรี เสด็จกลับเรือ พระที่นั่งมหาจักรี เวลาสามยามออกเรือพระที่นั่ง
วันที่ ๑๑ กรกฎาคม ร.ศ. ๑๑๗ ถึงบางสะพานแขวงเมืองกำเนิดนพคุณ ทอดพระเนตรภูมิสถาน ออกเรือพระที่นั่งถึงเกาะหลัก แขวงเมืองประจวบคีรีขันธ์
วันที่ ๑๒ กรกฎาคม ร.ศ. ๑๑๗ เสด็จถึงเกาะไผ่ ต่อมาถึงเกาะสีชัง
วันที่ ๑๓ กรกฎาคม ร.ศ. ๑๑๗ ออกเรือพระที่นั่งเข้าปากน้ำที่ป้อมพระจุลจอมเกล้าแลป้อมผีเสื้อ
พระราชหัตถเลขาฉบับที่ ๑
เรือพระที่นั่งมหาจักรี ทอดที่เมืองประจันตคีรีเขต วันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ร.ศ.๑๒๐
วันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ร.ศ. ๑๒๐ เสด็จขึ้นรถไฟปากน้ำถึงเมืองสมุทรปราการ ต่อมาเสด็จ ลงเรือพระที่นั่งสุริยมณฑลมาถึงเรือพระที่นั่งมหาจักรีทอดอยู่นอกสันดอน เรือพระที่นั่งมหาจักรี ออกเวลาเที่ยง
วันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ร.ศ. ๑๒๐ มีคลื่นมาก เวลาเที่ยงคืนของบนเรือตู้และเก้าอี้เลื่อน ไปเลื่อนมา
วันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ร.ศ. ๑๒๐ เรือเดินช้าลง
วันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ร.ศ. ๑๒๐ เวลาเช้าจอดนอกท่าเมืองสิงคโปร์ เวลาบ่ายสี่โมง พระราชทานน้ำชาที่ฮาริกันเฮ้าส์ ท้ายสุดเสด็จกลับลงเรือพระที่นั่ง
วันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ร.ศ. ๑๒๐ เสด็จขึ้นบกที่ฮาริกันเฮ้าส์ เสวยพระกระยาหาร ที่บ้านเจ้าเมืองสิงคโปร์ เวลาค่ำมีการเลี้ยงพระกระยาหารค่ำเจ้าเมืองที่ฮาริกันเฮ้าส์
วันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ร.ศ .๑๒๐ เสด็จตรงไปที่นิวฮาเบอ ทอดพระเนตรเรือโดยสาร ที่จะส่งสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ฯ พระยาชลยุทธ นายเตี้ยม บุตรเจ้าพระยาสุรวงศ์วิวัฒน์ (โต บุนนาค) กับเด็กนักเรียนที่จะไป
วันที่ ๒๖-๒๗-๒๘ กุมภาพันธ์ ร.ศ. ๑๒๐ เรือพระที่นั่งมหาจักรีถึงประจันตคีรีเขต ในเวลาห้าโมงเช้า
พระราชหัตถเลขาฉบับที่ ๒
เรือพระที่นั่งมหาจักรี ทอดที่เกาะช้าง วันที่ ๒ มีนาคม ร.ศ. ๑๒๐
วันที่ ๑ มีนาคม ร.ศ. ๑๒๐ เรือพระที่นั่งทอดที่อ่าวสน เพลาบ่ายย้ายทอดที่หน้าคลองมะยม ประพาสหมู่บ้าน
วันที่ ๒ มีนาคม ร.ศ. ๑๒๐ ได้ให้กรมหลวงดำรงราชานุภาพขึ้นไปตรวจราชการเมืองตราด ทรงพระสำราญพระอิริยาบถ ในเวลาเย็นเสด็จขึ้นที่น้ำพุคลองมะยม
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นพระมหากษัตริย์องค์ที่ ๕ ที่สืบราชสันตติวงศ์แห่ง พระบรมจักรีวงศ์ พระนามเดิมว่า “เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์” พระองค์เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จ- พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันอังคารที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๓๙๖ มีพระขนิษฐาและพระอนุชาร่วมสมเด็จพระราชชนนี ๓ พระองค์ เมื่อยังทรงพระเยาว์ทรงศึกษาวิชาและวิทยาการหลากหลายด้าน ทั้งทางด้านอักษรศาสตร์ และโบราณ- ราชประเพณี วิชาภาษาจากชาวต่างประเทศโดยตรง วิชาการรัฐศาสตร์ราชประเพณี และวิชาโบราณคดี
พระราชกรณียกิจสำคัญ
การปกครอง
ทรงตั้งกรมใหม่ ๖ กรม รวมกับของเดิมเป็น ๑๒ กรม ต่อมายกฐานะเป็นกระทรวง ราชการส่วนภูมิภาคนั้นโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้นเป็นครั้งแรก โดยแบ่งมณฑล ออกเป็นเมือง อำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน ให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองรับพระราชทานเงินเดือนประจำ และมีการแต่งเจ้าเมือง โดยยึดถือความรู้ความสามารถ แทนการสืบสายโลหิต
เศรษฐกิจและการคลัง
ทรงจัดระเบียบเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ คือปรับปรุงการเก็บภาษีอากร โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์ เพื่อเก็บรายได้ของแผ่นดินเอามารวมไว้แห่งเดียวกัน ต่อมายกฐานะขึ้นเป็นกระทรวง พระคลังมหาสมบัติ ทรงกำหนดพิกัดอัตราในการเก็บภาษีใหม่ให้เสมอภาคกัน โปรดเกล้าฯ ให้การจัดทำงบประมาณแผ่นดิน เป็นครั้งแรก แยกเงินแผ่นดินและเงินส่วนพระองค์ออกจากกัน
ทรงมีสนธิสัญญาเจริญพระราชไมตรีระหว่างประเทศ ยกเลิกเงินเฟื้อง เสี้ยว อัฐ และโสฬส เปลี่ยนมาใช้ อัตราทศนิยมแทน ทรงจัดตั้งธนาคารเป็นขึ้นเป็นครั้งแรก คือ สยามกำมาจล (ธนาคารไทยพาณิชย์ปัจจุบัน)
กฎหมายและศาล
พระองค์ทรงแก้ไขกฎหมายและการศาลให้ทันสมัย เพื่อแก้ไขสนธิสัญญาที่สยามเสียเปรียบต่างประเทศอยู่ ทรงสถาปนากระทรวงยุติธรรม ต่อมาจัดตั้งศาลโปลิศสภา (คือศาลแขวงปัจจุบัน) และจัดตั้งศาลหัวเมือง นอกจากนี้ทรงชำระกฎหมาย ตลอดจนตราประมวลกฎหมายขึ้นใหม่ ทรงสถาปนาโรงเรียนกฎหมายและ ทรงส่งนักเรียนไทยไปศึกษาวิชากฎหมายในทวีปยุโรป
ด้านการทหาร
ในขณะนั้น ลัทธิจักรวรรดินิยมตะวันตกได้คุกคามมาก ทรงนำแบบอย่างการทหารจากสิงคโปร์ และปัตตาเวีย มาปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะสมกับประเทศไทย จัดแบ่งกองทัพเป็นทหารบกและทหารเรือ ตั้งกรมยุทธนาธิการ ต่อมาคือกระทรวงกลาโหม มีการตราพระราชลักษณะการเกณฑ์ทหาร พระราชทานกำเนิดโรงเรียนนายร้อย ทหารบกและโรงเรียนนายเรือ
ด้านการต่างประเทศ
ทรงส่งอัครราชทูตไปต่างประเทศเป็นครั้งแรก พระองค์ทรงเล็งเห็นความสำคัญของการเจริญราชไมตรีกับ นานาประเทศทั่วโลก ทรงเสด็จพระราชดำเนินประพาสประเทศต่างๆ โดยเฉพาะทวีปยุโรปถึง ๒ ครั้ง ในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนั้นยังประโยชน์โดยทรงนำความเจริญต่างๆ มาปรับปรุงบ้านเมือง ให้พัฒนา อาทิเช่น การศึกษา การปกครอง การคมนาคม และเศรษฐกิจ ทำให้ไทยเจริญเทียบเทียม อารยประเทศ
ด้านการศึกษา
ทรงจัดตั้งโรงเรียนหลวงแห่งแรกในพระบรมมหาราชวัง และขยายออกไปสู่ประชาชน โรงเรียนหลวง สำหรับราษฎร์แห่งแรก คือ ที่วัดมหรรณพาราม ต่อมามีโรงเรียนสำหรับสตรี ฝึกหัดครู ทรงจัดระบบ การศึกษาเป็นครั้งแรกของประเทศ ได้แก่ กระทรวงธรรมการ (กระทรวงศึกษาธิการปัจจุบัน) จัดตั้งหอพระสมุด พิพิธภัณฑสถาน และโบราณคดีสโมสร
ด้านการศาสนา
ทรงเป็นศาสนูปถัมป์ภก โปรดเกล้าฯ ให้มีการสังคายนาจัดพิมพ์พระไตรปิฎก ด้วยอักษรไทย เป็นครั้งแรก พระราชทานไปตามพระอารามและห้องสมุดต่างๆ ทรงตราพระราชบัญญัติปกครองพระสงฆ์เป็นฉบับแรก โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัยที่วัดมหาธาตุ และมหามงกุฎราชวิทยาลัย ที่วัดบวรนิเวศ สำหรับพระสงฆ์ฝ่ายมหานิกายและธรรมยุติ ตามลำดับ
ทรงสร้างวัดราชบพิตรซึ่งเป็นวัดประจำรัชกาล รวมทั้งบูรณะปฏิสังขรณ์วัดต่างๆ ทั่วราชอาณาจักร
ด้านวัฒนธรรมและประเพณี
ทรงนำปฏิทินสุริยคติมาใช้แทนปฏิทินจันทรคติ โปรดเกล้าฯ ให้ยกเลิกการใช้จุลศักราชมาเป็นรัตนโกสินทร์ศก ทรงเลิกประเพณีการมีตำแหน่งพระมหาอุปราช และทรงตั้งตำแหน่งสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชแทน ตลอดจน พระราชนิยมทรงผมและการแต่งกาย ปรับเปลี่ยนประเพณีการหมอบคลานเข้าเฝ้า
การเลิกทาส
เริ่มด้วยการตราพระราชบัญญัติพิกัดเกษียณอายุลูกทาสลูกไทย นับตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๑๑ เมื่ออายุครบ ๒๑ ปี พ้นค่าตัวทาสมาเป็นไท ตรา “พระราชบัญญัติทาส รัตนโกสินทร์ศก ๑๒” ให้เลิกทาสทั่วพระราชอาณาเขต ซึ่งทำให้พระบรมราโชบายเป็นแบบผ่อนปรน ปราศจากเหตุวุ่นวายต่างๆ ด้วยเกียรติคุณของพระองค์ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์แห่งอังกฤษ ได้ทูลเกล้าฯ ถวายปริญญาทางกฎหมาย (Doctor of Law) จึงทรงเป็น พระมหากษัตริย์พระองค์แรกในเอเชียที่ได้รับทูลเกล้าฯ ปริญญาสาขาดังกล่าว
ด้านการคมนาคมและการสื่อสาร
โปรดเกล้าฯ ให้สร้างทางรถไฟสายแรก คือ สายกรุงเทพฯ – นครราชสีมา ทรงให้ตัดถนนหลายสาย เช่น ถนนราชดำเนิน ถนนเยาวราช ตลอดจนสร้างสะพานเชื่อมถนนข้ามลำคลอง เช่น สะพานผ่านภิภพลีลา สะพานผ่านฟ้าลีลาศ ทรงให้ขุดคลองขึ้นใหม่ และขุดลอกคลองของเก่า ยังประโยชน์ในด้านการเกษตร และคมนาคม ทรงสร้างโทรเลขสายแรกในประเทศไทย คือ สายกรุงเทพฯ – สมุทรปราการ ต่อมาภายหลัง ทรงจัดตั้งกรมไปรษณีย์โทรเลข ทรงรวมกรมไปรษณีย์และโทรเลขไว้ด้วยกัน
การสาธารณูปโภคและสาธารณสุข
มีพระราชกำหนดสุขาภิบาล ทำให้เกิดสุขาภิบาลแห่งแรก หลังจัดตั้งโรงพยาบาลศิริราช โปรดเกล้าฯ ให้จัด โรงเรียนสอนวิชาแพทย์แผนใหม่ที่ศิริราชพยาบาล ทรงตั้งโรงเรียนราชแพทยาลัย ทรงมีพระบรมราชานุญาต ให้สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ จัดตั้งสภาอุณาโลมแดง ปัจจุบัน คือสภากาชาด
ด้านวรรณกรรมและศิลปกรรม
ทรงเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญในด้านอักษรศาสตร์เป็นอย่างยิ่งทั้งร้อยแก้วและร้อยกรอง มีบทพระราชนิพนธ์ เป็นจำนวนมาก ได้แก่ จดหมายเหตุรายวัน พระราชหัตถเลขา พระบรมราชาธิบาย พระราชวิจารณ์ ต่างๆ รวมทั้งบทละคร เช่น เรื่องเงาะป่า ซึ่งมีคุณค่ามากในทางอักษรศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และโบราณคดี ในด้านสถาปัตยกรรม พระที่นั่งจักรีมหาปราสาทในพระบรมมหาราชวังเป็นสถาปัตยกรรมที่งดงาม และเป็นเอกลักษณ์ ทรงสร้างพระราชวังดุสิตและพระที่นั่งอนันตสมาคม
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวรด้วยโรคพระวักกะพิการ เสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๓ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต พระชนมพรรษา ๕๘ พรรษา สิริราชสมบัติรวมได้ ๔๒ ปี