ดรุโณวาท นับได้ว่าเป็นสื่อสิ่งพิมพ์รุ่นแรกๆ ของสังคมลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาที่มีคนไทยเป็นเจ้าของ โดยมีพระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าเกษมสันต์โสภาคย์ ซึ่งต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๖ ได้เลื่อนเป็นพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพรหมวรานุรักษ์ ทรงเป็นต้นดำริในการพิมพ์
"ดรุโณวาท" ซึ่งเป็นชื่อเอกสารสิ่งพิมพ์ฉบับนี้ แปลว่าคำสอนของคนหนุ่ม ดังปรากฏในฉบับที่ ๑ ส่วนโรงพิมพ์ที่จัดพิมพ์นั้นมีปรากฏข้อความในฉบับที่ ๑ หน้าที่ ๒ ว่า ตั้งโรงพิมพ์ที่วังพระเจ้าน้องยาเธอพระองค์เจ้าเกษมสันต์โสภาคย์ บริเวณสุดถนนบำรุงเมืองใกล้ประตูเมืองที่ออกไปวัดสระเกศ และถ้าต้องการรับหนังสือดรุโณวาทสามารถมาซื้อที่วังหรือให้มีการจัดส่งก็ได้
ในปีแรก (พ.ศ. ๒๔๑๗) ดรุโณวาทตีพิมพ์ออกมาทั้งสิ้น ๓๙ ฉบับ ต่อเมื่อขึ้นเดือน ๕ คือเปลี่ยนจุลศักราชจากปี ๑๒๓๖ มาเป็น ปี ๑๒๓๗ ซึ่งนับเป็นปีที่สองจึงออกอีกจำนวน ๑๒ ฉบับ รวมทั้งสิ้น ๕๑ ฉบับ มีหลักฐานบ่งชี้ว่าราชสำนักให้ความอุปถัมภ์แก่สิ่งพิมพ์ฉบับนี้ และยังปรากฏหลักฐานว่า พระยาภาสกรวงศ์ (ยศขณะนั้น) เป็นผู้ส่งข้อเขียนมาลงเป็นประจำ
เนื้อหาส่วนใหญ่ในดรุโณวาทเกี่ยวข้องกับข่าวสารบ้านเมืองและเรื่องราวของของโลกตะวันตก รวมถึงเรื่องบันเทิงคดีต่างๆ ซึ่งถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนผ่านจากวรรณกรรมร้อยกรองมาสู่วรรณกรรมร้อยแก้ว นอกจากนี้ยังมีการวิพากษ์วิจารณ์กลุ่มบุคคลชั้นสูงที่ออกมาในรูปแบบของเรื่องสั้น ซึ่งน่าจะถือได้ว่าดรุโณวาทเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ฉบับแรกที่กล้าแสดงความเห็นในทางวิพากษ์วิจารณ์
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพรหมวรานุรักษ์ ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติ ณ วันจันทร์ แรม ๒ ค่ำ เดือน ๙ ปีมะโรง ตรงกับวันที่ ๑๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๓๙๙ สิ้นพระชนม์ ในเวลา ๕.๕๓ น. นับเป็นวันที่ ๔ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๗
ปัญหาเรื่องการจัดให้ดรุโณวาทเป็นหนังสือพิมพ์หรือเป็นนิตยสารนั้น เราไม่อาจนำนิยามศัพท์ทางนิเทศศาสตร์ในยุคสมัยปัจจุบันไปใช้กับสื่อสิ่งพิมพ์เมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว ทั้งนี้เพราะ ความหมาย คำจำกัดความ รวมถึงแนวคิดและความเข้าใจของผู้คนในอดีตมักจะไม่ตรงกับปัจจุบัน อีกทั้งกลุ่มที่เสนอว่าดรุโณวาทเป็นนิตยสารนั้นก็ยอมรับว่า นิตยสารไทยในช่วงแรกดูไม่แตกต่างกับหนังสือพิมพ์ เพราะฉะนั้นการที่จะตีความว่าดรุโณวาทจะเป็นหนังสือพิมพ์หรือนิตยสารจึงจำเป็นที่ต้องค้นหาว่าในสังคมรัตนโกสินทร์สมัยนั้นจัดประเภทหนังสือเหล่านี้อยู่ในพวกใด
จากข้อความบนหัวหนังสือของดรุโณวาททุกฉบับจะมีปรากฏข้อความว่า
เนื้อหาในดรุโณวาทมีโครงสร้างไม่สม่ำเสมอ แต่ถ้าพิจารณาจากฉบับที่มีรายละเอียดพอจะสรุปได้ว่า ดรุโณวาทมีโครงสร้างเนื้อหาเรียงลำดับดังต่อไปนี้
๑. แจ้งความให้ทราบ
๒. ข่าวราชการ ซึ่งจะเริ่มต้นจากข่าวพระราชกรณียกิจพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และข่าวจากหน่วยงานราชการอื่นๆ
๓. ข่าวต่างประเทศ ซึ่งเป็นการแปลมาจากหนังสือต่างชาติ
๔. เนื้อหาในเชิงความรู้
๕. ประกาศขายของจากห้าง แรมเซเวกฟีลด์แอนด์กัมเปนี (Ramsay Wake Field & Company) ประกาศขายของเลหลัง และเรื่องเรือต่างชาติเข้า
จากการศึกษาพบว่าโครงสร้างเนื้อหาของดรุโณวาทได้รับแบบแผนมาจาก ราชกิจจานุเบกษา ที่ออกในปีนั้น เพียงแต่จะแตกต่างกันดังนี้
๑. ในราชกิจจานุเบกษามีพิมพ์กฎหมายบ้านเมือง พระบรมราชโองการ ประกาศทางราชการ ข่าวผู้ร้ายตามหัวเมือง และใบบอกจากหัวเมืองต่างๆ ซึ่งไม่มีปรากฏในดรุโณวาท
๒. ในราชกิจจานุเบกษาไม่มีการพิมพ์เรื่องในเชิงความรู้ประเภทนิทาน พงศาวดาร และวรรณคดี
๓. ในราชกิจจานุเบกษาไม่มีการเขียนวิพากษ์วิจารณ์บุคคลหนึ่งบุคคลใด ยกเว้นแต่จะเป็นประกาศโทษเมื่อสิ้นสุดการพิจารณาคดี
อนึ่ง แม้ว่าในดรุโณวาทจะมีการลงข่าวราชการ แต่บางครั้งก็ได้ให้รายละเอียดมากกว่าในราชกิจจานุเบกษา ยกตัวอย่างเช่น ข่าวเทศน์มหาชาติ ในเล่มที่ ๑ แผ่นที่ ๑๙
นอกจากนี้เรื่องราวบางเรื่องที่เกี่ยวข้องกับราชสำนักที่ไม่มีปรากฏในราชกิจจานุเบกษาแต่กลับมีปรากฏในดรุโณวาท เช่น
๑. สมเด็จกรมพระราชวังบวรขึ้นเฝ้า ในเล่มที่ ๑ แผ่นที่ ๑
๒. เรื่องทูลเกล้าฯ ถวายต้นไม้เพื่อใช้ประดับตบแต่งในพระราชอุทยานสราญรมย์ ซึ่งลงอยู่หลายตอน
๓. ข่าวงานเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาสุดารัตนราชประยูร ในเล่มที่ ๑ แผ่นที่ ๒๖
๔. เรื่องสิ่งของที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ ซึ่งถ้าอ่านอย่างละเอียดจะพบว่าคำว่า "พิพิธภัณฑ์" ในสมัยนั้นไม่เหมือนกับพิพิธภัณฑ์ของกรมศิลปากรสมัยนี้แต่ประการใด
ในหนังสือดรุโณวาทมีข้อเขียนแสดงถึงความรู้เกี่ยวกับโลกตามหลักดาราศาสตร์ ดังที่ปรากฏในดรุโณวาทเล่มที่ ๑ แผ่นที่ ๒ ซึ่งเข้าใจว่าเป็นการแปลมาจากตำราตะวันตก
นอกจากนี้ยังมีข้อมูลที่เกี่ยวกับต่างประเทศมากขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับเอกสาร สมุดภาพไตรภูมิฉบับกรุงธนบุรี เรื่องตำหรับนางนพมาศ และ จารึกโคลงชาติภาษาที่วัดพระเชตุพนฯ ซึ่ง ๒ เรื่องหลังเป็นวรรณคดีในสมัยรัชกาลที่ ๓
อย่างไรก็ตาม เรื่องราวเกี่ยวกับต่างประเทศในดรุโณวาทก็บอกเพียงรายละเอียดของประมุขของประเทศนั้น ทว่า ประเทศต่างๆ ที่ปรากฏในดรุโณวาทล้วนแล้วแต่เป็นประเทศที่มีอิสรภาพไม่ได้เป็นเมืองขึ้นของประเทศใด ดังนั้นจึงไม่ปรากฏเรื่องของประมุขประเทศอินเดีย กัมพูชา เวียดนาม เป็นต้น
แต่ด้วยสถานการณ์โลกที่มีการเปลี่ยนแปลง บางประเทศที่ปรากฏในดรุโณวาทได้สูญสิ้นไปแล้วในปัจจุบัน เช่น ประเทศบาเวเรีย ขณะที่บางประเทศมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เช่น รัสเซีย อิตาลี กรีซ และปอร์ตุเกส เป็นต้น
นอกจากนี้ในดรุโณวาทยังได้นำเรื่องการรถไฟของ ยอร์ช สตีเฟนสัน (George Stephenson) มาลงเป็นเรื่องยาวในดรุโณวาทอยู่หลายฉบับจึงจะจบ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ ทั้งนี้เพราะก่อนหน้าที่จะมีการจัดพิมพ์ดรุโณวาทออกมาสู่บรรณพิภพ ราชสำนักรู้จักรถไฟเพียงแค่รถไฟจำลองที่พระนางเจ้าวิคตอเรียส่งมาให้ในสมัยรัชกาลที่ ๔ เท่านั้น ซึ่งปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่พระที่นั่งศิวโมกข์พิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร
ราชสำนักในสมัยนั้นจึงไม่อาจที่จะทราบว่ารถไฟที่แล่นได้จริงเป็นอย่างไร นอกจากผู้ที่เคยเดินทางไปยุโรปในขบวนราชทูต แต่การที่ดรุโณวาทนำสารคดีเรื่องรถไฟซึ่งให้รายละเอียดมากกว่าที่ปรากฏใน นิราศลอนดอน มาเผยแพร่นั้น สะท้อนให้เห็นถึงความตื่นตัวของกลุ่มชนชั้นนำเกี่ยวกับกิจการรถไฟ ซึ่งอาจจะเป็นผลสืบเนื่องจากครั้งพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ กลุ่มเจ้านายและขุนนางได้เสด็จประพาสอินเดีย และครั้งนั้นอุปราชอินเดียได้ให้ขบวนเสด็จพระราชดำเนินโดยทางรถไฟ
การที่รถไฟมีความสำคัญต่อราชสำนักในสมัยนั้นก็เป็นเพราะว่า รถไฟช่วยให้ราชสำนักสามารถสื่อสารและควบคุมหัวเมืองได้สะดวกมากยิ่งขึ้น อีกทั้งรถไฟยังมีส่วนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ตั้งของชุมชนจากเดิมประชาชนมักจะตั้งบ้านเรือนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำก็เปลี่ยนมาตั้งอยู่ที่ริมทางรถไฟแทน
เนื่องจากปีที่ออกหนังสือดรุโณวาทคือ พ.ศ. ๒๔๑๗ เป็นปีแรกที่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ทรงออกว่าราชการด้วยพระองค์เอง ในปีนี้เองพระองค์ทรงเปลี่ยนระบบบริหารราชการแผ่นดินบางอย่าง เช่น การยกเลิกทาส ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก ทั้งนี้เพราะสังคมลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาคุ้นชินกับระบบดังกล่าวมาเป็นระยะเวลายาวนาน และการยกเลิกทาสก็เป็นการลดทอนผลประโยชน์ของนายทาสซึ่งส่วนใหญ่คือกลุ่มเจ้าและขุนนาง
กลุ่มผู้จัดทำดรุโณวาทได้ออกมาสนับสนุนเรื่องการยกเลิกทาสของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ โดยมีการแปลบทความจากหนังสือพิมพ์ฮ่องกงไทม์ซึ่งได้เสนอบทวิจารณ์ข่าวการเลิกทาสของไทยว่า
"การแก้ไขธรรมเนียมเก่า กลายเปนธรรมเนียมใหม่ เปนการการแก้ไขที่สำคัญ .... จะได้เตือนสติเมืองจีนและญี่ปุ่นทั้งสองประเทศ ให้เขาตรึกตรองในการที่กรุงสยามก้าวยาว ถ้าเขาจะเอากรุงสยามซึ่งเปนเมืองใกล้เคียงเปนเยี่ยงอย่างไปควรจะเป็นประโยชน์แก่เขา" |
นอกจากดรุโณวาทเหมือนจะเป็นกระบอกเสียงของราชสำนักแล้ว ในบางบทความก็สะท้อนให้เห็นถึงการกระทบกระเทียบกลุ่มข้าราชการ ยกตัวอย่างเช่น การตั้งปรีวีเคาน์ซิล (Privy Council)หรือที่ปรึกษาส่วนพระองค์ และเคาน์ซิลออฟสเตด (Council of State) หรือที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน โดยมีเหตุการณ์สำคัญในปี พ.ศ. ๒๔๑๗ คือการชำระคดีทุจริตของพระยาอาหารบริรักษ์ (นุช)
ข่าวเรื่องการตั้งปรีวีเคาน์ซิลและเคาน์ซิลออฟสเตด ปรากฏอย่างเป็นทางการในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งดรุโณวาทก็มีบทความกล่าวชื่นชมเป็นอย่างมากว่าจะสร้างความเจริญให้แก่ประเทศชาติ โดยเฉพาะข่าวปรีวีเคาน์ซิลถือน้ำ ได้นำเสนอแบบการคัดความเพียงบางส่วนและมีการเพิ่มส่วนความเห็นส่วนบุคคลของผู้เขียนลง
อย่างไรก็ตาม ข่าวเรื่องปรีวีเคาน์ซิลถือน้ำมีข้อความบางประการที่สะท้อนให้เห็นว่าผู้เขียนกำลังจะวิพากษ์ใครสักคนหนึ่ง ดังความต่อไปนี้
"ท่านเสนาบดีนอกนั้นไม่มีชื่อในปรีวีเคาน์ซิลจะเป็นด้วยเหตุอันใดข้าพเจ้ายังไม่ทราบ ฤๅในหลวงจะไม่เชิญให้ท่านเป็นปรีวีเคาน์ซิลเพราะท่านชราหรือป่วยอยู่ดอกกระมัง ฤๅในหลวงได้เชิญท่านแล้ว ท่านจะไม่รับด้วยความขัดข้องด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง ฤๅท่านจะไม่อยากอวดสติปัญญาก็ยังไม่รู้แน่ แต่ถ้าในหลวงได้เชิญแล้วท่านไม่รับก็ผิดไป ฤๅคำสาบานจะเรี่ยวแรงเป็นอย่างไร ท่านกลัวจะรับการไปไม่ตลอดท่านจึงไม่รับ ข้าพเจ้าอยากจะทราบให้ชัดขอท่านผู้อ่านที่ได้รู้การเรื่องนี้ชัดเจนแล้วได้ช่วยอธิบายให้ข้าพเจ้าทราบชัดด้วย" |
จากข้อความข้างต้นชวนให้คิดว่าผู้เขียนต้องการกระทบกระเทียบสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) และเจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค) ทั้งนี้เพราะมีหลักฐานว่าท่านทั้งสองไม่รับเป็นปรีวีเคาน์ซิลเพราะเรื่องต้องสาบานเพิ่มเติม
ในบางครั้งการตำหนิสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ก็ทำกันอย่างเปิดเผย ดังตัวอย่างในเล่ม ๑ หน้า ๒๑๖ ความว่า
"เขาเลี้ยงโต๊ะกันได้ยินนายห้างแลกงสุลเขาพูดกันว่าในหลวงองค์นี้พระปัญญามีในพระเศียรมากนักทรงคิดการอย่างไรดีทุกสิ่ง ห้ามไม่ให้เดกขายตัวเกินกระเสียนอายุ แล้วอายุ ๒๑ ปีหมดค่าตัว ขายไม่ได้อีกต่อไปนี้เปนการดีจริงๆ ไม่เดือดร้อนแก่คนในเมืองของท่านไม่เหมือนครั้งริเยน(ผู้สำเร็จราชการ)ได้ทำการนั้น จะให้ลดค่าตัวทุกคนเดือนละสองบาทห้าปีทาสจะหมดก็จะเที่ยววิ่งราวทั่วไปทั้งแผ่นดิน" |
บางข้อเขียนในดรุโณวาทก็สะท้อนให้เห็นว่า กลุ่มเจ้านายและขุนนางที่ออกดรุโณวาทแสดงท่าทีที่ไม่เข้ากับสมเด็จกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญซึ่งเข้าข่ายจะได้สืบราชสมบัติ (เพราะกลุ่มผู้จัดทำมีจุดยืนสนับสนุนให้พระราชโอรสของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ได้เสวยราชสมบัติ) ดังที่ปรากฏในแจ้งความ เล่มที่ ๑ แผ่นที่ ๒๐ ความว่า
"ได้พร้อมกันให้เจ้าพระยาภูธราภัย เจ้าพระยาภาณุวงษมหาโกษาธิบดี เปนหัวหน้าแอดเรศถวายว่า ข้าพเจ้าขอให้พระบรมราโชรศของพระเจ้าอยู่หัวได้สืบราชอิศิริยศต่อติดเนื่องตามที่พระองค์ได้ครองศิริราชสมบัติ" |
แม้ว่าดรุโณวาทจะสนับสนุนการตั้งปรีวีเคาน์ซิลและเคาน์ซิลออฟสเตด แต่ในบางครั้งก็มีข้อเขียนที่กระทบข้าราชการกลุ่มนี้ ดังตัวอย่าง
"นี่เราฟังข่าวว่าจะเลิกหวยเลิกบ่อนมีมาสี่ห้าครั้งแล้ว ยังไม่เหนเปนแน่ลงได้ ถ้าแม้นว่าท่านเคาซิลทั้งปวง มีความวิตกด้วยการเลิกหวยเลิกบ่อน ดังพระราชประสงค์ทุกๆ ท่านแล้ว ป่านนี้พวกจีนขุนพัดที่ไปทำการไร่การสวนนั้น จะได้ผลไม้แลผักมาขายเตมท้องตลาดเสียอีก นี้ข้าอยู่ด้วยท่านเคาน์ซิลยังไม่เหนพร้อมกัน นายบุจจึ่งว่า ทำไมท่านเคาน์ซิลจึ่งมาหนักหน่วงเอาไว้ทำอะไรที่ไหน ฤๅว่าท่านมีประโยชน์อยู่ดอกกระมัง ท่านจึ่งไม่หยากจะให้เลิก เราก็ตรองไม่เหน ท่านจะกล้าฝ่าคำสาลไปเจียวฤๅ นายวิศจึ่งว่าข้อนี้เราไม่รู้ด้วย"๑ |
ในบางข้อเขียนก็พบว่าดรุโณวาทเขียนกระทบบุคคลบางคน เช่น ในแจ้งความ ของเล่มที่ ๑ แผ่นที่ ๒๕ ได้กล่าวถึงชายคนหนึ่งแสดงอาการกิริยาไม่บังคมเมื่อขึ้นพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ ในประเด็นดังกล่าวก็ยากที่จะตอบได้ว่าดรุโณวาทต้องการจะกระทบกระเทียบใคร แต่ถ้าเป็นสังคมในยุคสมัยนั้นน่าจะเข้าใจได้ว่ากำลังเอ่ยถึงใคร
หนังสือดรุโณวาทใช่ว่าจะตำหนิบุคคลเท่านั้น แม้กระทั่งหน่วยราชการก็ถูกตำหนิด้วยเช่นกัน ดังกรณีของราชกิจจานุเบกษาลงศักดินาขุนนางผิด ในประเด็นดังกล่าวน่าจะสร้างความไม่พอใจแก่พระเจ้าบรมวงศ์ กรมหลวงบดินทรไพศาลโสภณ ผู้ทรงกำกับราชกิจจานุเบกษา ทั้งนี้เพราะ มีพระราชหัตถเลขาทรงตำหนิกรมหลวงพรหมวรานุรักษ์ว่า ไม่ควรที่จะว่ากรมหลวงบดินทรไพศาลเรื่องความผิดเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งต่อมากรมหลวงพรหมวรานุรักษ์ได้พิมพ์ข้อเขียนแก้ต่างแทนราชกิจจานุเบกษาลงในดรุโณวาท เล่มที่ ๑ หน้า ๒๕๙
ปัญหาเรื่องเจ้าพระยาภาสกรวงศ์เขียนบทความในดรุโณวาทในเชิงกระทบกระเทียบบุคคลต่างๆ นั้น อยู่ในความสนใจของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ และดูเหมือนว่าพระองค์เริ่มทรงหวั่นว่าจะเกิดปัญหาในภายภาคหน้า
๑ เรื่องเลิกบ่อน สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงอธิบายไว้ว่า ในปี พ.ศ. ๒๔๑๘ โปรดเกล้าให้ตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์ เพื่อรวบรวมภาษีอากร ถ้าจะเลิกหรือลดบ่อนเบี้ยในเวลานั้นเงินผลประโยชน์แผ่นดินก็ยังน้อย ก็จะกลับขาดผลประโยชน์ ครั้นเงินเข้าหอรัษฎากรพิพัฒน์มาก ก็เลิกบ่อนเบี้ยลำบากเพราะอากรบ่อนเบี้ยก็มากขึ้นเป็นทวี ดูรายละเอียดใน สมเด็จ ฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ , "ตำนานการเลิกบ่อนเบี้ยและเลิกหวย" ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๓๖ (กรุงเทพ ฯ : กรมศิลปากร , ๒๕๐๔) , หน้า ๓๖. พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานฌาปนกิจศพ นางพยุง โสตถิทัต
ปัญหาที่ว่าเหตุใดดรุโณวาทต้องยุติมีที่มาจากหลายสาเหตุ แม้ว่าในดรุโณวาทเล่มที่ ๒ แผ่นที่ ๑๒ หน้า ๙๑ จะเอ่ยว่า ดรุโณวาทจะทำต่อไปถ้าไม่ขาดทุน ซึ่งในประเด็นนี้ผู้เขียนเห็นว่า ประเด็นการขาดทุนอาจจะเป็นสาเหตุรอง ทั้งนี้เพราะราชสำนักเป็นผู้ให้การอุปถัมภ์ดรุโณวาทดังที่กล่าวไว้แล้ว แต่เหตุผลหลักที่ดรุโณวาทต้องปิดตัวน่าจะเป็นเพราะราชสำนักสั่งให้ปิด ด้วยสาเหตุที่เรื่องสั้นที่เขียนโดยเจ้าพระยาภาสกรวงศ์ ได้ทำให้เกิดคดีความฟ้องร้อง
จากบทสนนทนาของนายจิตรกับนายใจในดรุโณวาท เล่มที่ ๑ หน้า ๒๗๓ ได้กล่าวถึงการตั้งเคาน์ซิล ๒ ท่านขึ้นเป็นเจ้าพระยานาหมื่น ทั้งนี้เพราะท่านมีเม็ดดี๒ รวมถึงได้มีการกล่าวย้อนความหลังเรื่องในราชกิจจานุเบกษาลงศักดินาของเจ้าพระยาท่านหนึ่งผิดไป ส่วนเคาน์ซิลคนอื่นได้ตั้งบุตรท่าน ๒ คน เพื่อเป็นเกียรติยศแก่บิดา
ผลปรากฏว่าเจ้าพระยามหิธรศักดิธำรง (เพ็ง เพ็ญกุล) ซึ่งถูกพาดพิงในบทสนทนาเรื่องไม่พอใจ และทำเรื่องกราบบังคมทูลให้มีการไต่สวน สาเหตุสำคัญที่ทำให้เจ้าพระยามหิธรศักดิธำรงโกรธถึงขนาดทำเรื่องฟ้องอาจจะเป็นเพราะในดรุโณวาทได้กล่าวถึงการขึ้นมารับบรรดาศักดิ์เจ้าพระยาของท่าน ซึ่งก่อนหน้านี้ที่ท่านจะได้รับนั้น สมเด็จพระเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ดูเหมือนจะคัดค้าน ประกอบเจ้าพระยาภาสกรวงศ์ก็เป็นน้องชายคนเล็กของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ จึงทำให้ท่านโกรธเคือง
นอกจากนี้บทสนทนาของนายจิตรและนายใจ ยังได้พาดพิงถึงพระยากระสาปน์กิจโกศล (โหมด อมาตยกุล) ซึ่งดำรงตำแหน่งปรีวีเคาน์ซิล เพราะในปี ๒๔๑๗ บุตรของท่านคือ หลวงพิจารณ์จักรกิจ (เจิม อมาตยกุล) ได้เลื่อนขึ้นเป็นเจ้าหมื่นศรีสรรักษ์ และพระยาธรรมสารนิติ (ตาด อมาตยกุล) ปรีวีเคาน์ซิลอีกท่านหนึ่ง ซึ่งบุตรของท่านคือ หลวงสรจักรานุกิจ (ถวิล อมาตยกุล) ได้เลื่อนขึ้นเป็นจมื่นราชามาตย์ ในคราวเดียวกับที่แต่งตั้งเจ้าพระยามหิธรศักดิธำรง
ในชั้นต้นเจ้าพระยามหิธรศักดิธำรงเรียกร้องให้เอดิเตอร์ซึ่งก็คือ พระองค์เจ้าเกษมสันต์โสภาคย์ (พระยศขณะนั้น) รับผิดชอบ แต่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ไม่ทรงพอพระทัย
การไต่สวนครั้งนั้นให้กรมหมื่นนเรศร์วรฤทธิ์ (พระยศขณะนั้น) และพระยาธรรมจรันยานุกูลมนตรี (จำเริญ บุรณศิริ) ไต่สวน ในที่สุดเจ้าพระยาภาสกรวงศ์ก็ทำหนังสือลุแก่โทษถวายพระเจ้าอยู่หัว และถูกคาดโทษ ส่วนพระองค์เจ้าเกษมสันต์โสภาคย์ พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ได้ทรงมีพระราชหัตถเลขาถึงสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงภาณุพันธุวงศ์วรเดชให้คอยช่วยเหลือ
๒ ในงานเขียนของเจ้าพระยาภาสกรวงศ์พูดในทำนองที่ว่าเจ้าพระยามหิธรศักดิธำรงได้เป็นขึ้นเป็นเจ้าพระยาเพราะไม่ได้มาจากความสามารถส่วนบุคคล อีกทั้งยังมีการเปรียบเจ้าพระยามหิธรศักดิธำรงว่ามีวงละครสักวันจะเหมือนกับหม่อมไกรสรที่เสียคนเพราะคนละคร
ส่วนทางราชสำนักได้ออกประกาศเรื่องเครื่องรางเม็ดดี๓ ในราชกิจจานุเบกษา ฉบับวันอาทิตย์ เดือน ๑ แรม ๔ ค่ำ เพื่อเป็นการชี้แจงเรื่องดังกล่าว ส่วนเจ้าพระยาภาสกรวงศ์ก็น่าจะถูกพักราชการชั่วคราว
อันที่จริงแล้วคงจะมีขุนนางหลายท่านที่ไม่พอใจเจ้าพระยาภาสกรวงศ์ อันเนื่องมาจากข้อเขียนของท่านในดรุโณวาท แต่ผู้ที่ออกหน้าในครั้งนี้คือ เจ้าพระยามหิธรศักดิธำรง และเจ้าหมื่นศรีสรรักษ์ ซึ่งในที่ประชุมเคาน์ซิลถึงกับจะมีการปลดเจ้าพระยาภาสกรวงศ์
คงจะเป็นด้วยข้อเขียนเรื่องเม็ดดีของเจ้าพระยาภาสกรวงศ์ ทำให้ดรุโณวาทฉบับหลังจากเหตุการณ์นี้ไม่ลงเรื่องในเชิงวิพากษ์วิจารณ์อีกเลย แม้กระทั่งข่าวสำคัญเช่นกรณีวังหน้า และเมื่อดรุโณวาทครบ ๑ ปีจึงได้ปิดตัวไป
หลังจากดรุโณวาทปิดตัวไป สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงภาณุพันธุวงศ์วรเดชก็ได้ออกหนังสือชื่อ Court ข่าวราชการ ซึ่งในบทนำของหนังสือเล่มนี้เมื่อมารวมพิมพ์ใหม่ภายหลัง ก็ไม่ได้กล่าวถึงที่มาของแท่นที่ใช้พิมพ์หนังสือ Court ข่าวราชการ ถ้าคิดว่าสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงภาณุพันธุวงศ์วรเดชได้ทรงช่วยพระองค์เจ้าเกษมสันต์โสภาคย์ (พระยศในขณะนั้น) จะเป็นไปได้หรือไม่ว่า หนังสือ Court ข่าวราชการ เป็นมรดกของดรุโณวาท
๓ ประกาศเรื่องเครื่องรางเม็ดดี ตีพิมพ์ในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๑ นำเบอร์ ๒๙๖ วันอาทิตย์ เดือน ๑ แรม ๔ ค่ำ ปีจอฉศก ๑๒๓๖ เพื่อเป็นการตอบข้อเขียนเรื่องบทสนนทนาของนายจิตรกับนายใจในดรุโณวาท เล่มที่ ๑ หน้า ๒๗๓ ว่าท่านผู้เขียนเรื่องดังกล่าวมีจิตใจริษยา พระเจ้าอยู่หัวทรงชุบเลี้ยงข้าราชการด้วยความยุติธรรม การเลื่อนตำแหน่งก็เหมาะแก่ความดีความชอบ หาใช่เพราะบุคคลผู้นั้นมีเครื่องรางเม็ดดี
เอกสารอ้างอิง