สารบัญ
ภาพยนตร์

ภาพยนตร์เรื่อง Perfume: The Story of a Murderer หรือชื่อภาษาไทยว่า “น้ำหอมมนุษย์” ดัดแปลงจาก นวนิยายขายดี ของนักเขียนชาวเยอรมัน เรื่อง Das Parfüm – Die Geschichte eines Mörders เขียนโดย Patrick Süskind (“สีมน”แปลเป็นภาษาไทย) ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการนำเสนอเรื่องราวของกลิ่นและอำนาจของมัน ออกฉายครั้งแรกในปี ค.ศ. 2006 กำกับการแสดงโดย Tom Tykwer นำแสดงโดย Ben Whishaw ,Dustin Hoffman , Alan Rickman , Rachel Hurd-Wood ,Jessica Schwarz, Karoline Herfurth , John Hurt ,Corinna Harfouch ,Simon Chandler ความยาวประมาณ 147 นาที

เรื่องย่อ ปีค.ศ. 1766 ณ นครกราส ตอนใต้ของเทศประฝรั่งเศส

ณ จตุรัสกลางใจเมืองกราส ฝูงชนมารวมตัวกันเพื่อรอฟังคำตัดสินฆาตกรนาม ฌอง แบ็ปติส เกรอนุย (เบน วิสชอว์) คนทำน้ำหอมผู้มีพรสวรรค์ ฝูงชนเริ่มฮือฮาเมื่อเกรอนุยซึ่งถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวนถูกลากตัวขึ้นมายังระเบียงป้อม พวกเขาถึงกับลุกฮืออย่างลิงโลดเมื่อ เกรอนุย ถูกตัดสินประหารชีวิต

22 ปีก่อนหน้านี้ ณ กรุงปารีส

ในเทศประฝรั่งเศสยุคก่อนการปฏิวัติอันแร้นแค้น หญิงขายปลาแม่ของ เกรอนุย (เบอร์จิต มินิชเมร์) ได้ให้กำเนิดลูกชายอย่างง่ายดาย(เพราะเป็นท้องที่ห้าของเธอ) ท่ามกลางกลิ่นคาวของตลาดกรุงปารีสในวันที่อากาศร้อนที่สุดของปีนั้น เธอผลักไสเขาด้วยการถีบร่างแรกเกิดของเขาไปในกองเครื่องในปลาใต้โต๊ะในแผงลอยขายของของเธอ ด้วยหวังให้เขาสิ้นใจเหมือนบรรดาพี่ ๆ ของเขาที่เกิดมาก่อนหน้านี้ แต่เจ้าหนูที่เพิ่งถือกำเนิดเหมือนจะรับรู้ชะตากรรมของตนเองพยายามที่จะมีชีวิตอยู่โดยการส่งเสียงร้องดังลั่น ทำให้เขาได้รับการช่วยเหลือจากคนที่เดินผ่านไปผ่านมาคนหนึ่ง ส่งผลให้แม่ของเขาโดนเจ้าหน้าที่จับตัวและถูกแขวนคอข้อหาพยายามฆ่าลูกตัวเอง

เกรอนุย ใช้ชีวิตในช่วงขวบปีแรกๆ ในบ้านเลี้ยงเด็กกำพร้าของมาดามเกลลาร์ด (เซียน โธมัส) เด็กกำพร้าคนอื่นๆ พยายามบีบคอเขาในวันที่เขามาถึง แต่มาดามเกลลาร์ดได้ช่วยเขาเอาไว้เพราะเธอจะได้รับค่าเลี้ยงดูเด็กกำพร้าจากรัฐ ด้วยวัยเพียง 3 ขวบ ถึงแม้จะยังเดินไม่ได้ พูดไม่ได้ แต่เห็นได้ชัดว่าเจ้าหนูเกรอนุย มีความสามารถในการดมกลิ่นที่ถือว่าสุดมหัศจรรย์ เขาคลานไปทั่วพื้นบ้านพร้อมกับเรียนรู้ประสบการณ์ในโลกรอบๆ ตัวเขาผ่านพลังพิเศษในการดมของเขา

ตามกฏ ทางรัฐจะเลิกให้เงินดูแลเด็กกับมาดามเกลลาร์ดเมื่อเด็กคนนั้นอายุครบ 13 ปี มาดามเกลลาร์ดจึงขายเกรอนุยให้กริมมอล (แซม ดักลาส) ซึ่งเป็นเจ้าของโรงฟอกหนังเป็นเงิน 10 ฟรังค์ แต่สุดท้ายกลับเป็นการแลกด้วยชีวิตของมาดามเกลลาร์ด เพราะเมื่อเด็กหนุ่มพ้นไปจากการดูแลของตน เธอก็ถูกปล้นเงินดังกล่าวไปพร้อมกับชีวิตของเธอ การต้องทำงานในโรงฟอกหนังที่เต็มไปด้วยสารไนเตรทที่มีกลิ่นเหม็นและหนังสัตว์ที่กำลังเน่าเป็นงานที่เต็มไปด้วยอันตราย แต่เกรอนุยกลับเอาชีวิตรอดมาได้ในสภาพแวดล้อมที่เหมือนนรกแห่งนั้น และเติบโตจนกลายเป็นชายหนุ่มที่เปี่ยมไปด้วยพลังในการสัมผัสกลิ่น

ด้วยความอดทนและขยันขันแข็งเขาจึงได้โอกาสเดินทางไปส่งของที่ปารีส ระหว่างเดินทางไปปารีสเป็นครั้งแรกในชีวิต เขาได้ค้นพบกลิ่นแปลกใหม่ และทำให้เขาหลงไหลที่จะเรียนรู้กลิ่นอันแปลกใหม่เหล่านั้น และแล้วสายลมได้พัดพาเอากลิ่นที่หอมรัญจวนใจที่สุดเท่าที่เกรอนุยเคยได้กลิ่นมา เขาติดตามกลิ่นนั้นไปตามถนนและตรอกซอกซอยท่ามกลางแสงจันทร์จนได้พบกับเจ้าของกลิ่น นั่นก็คือสาวขายลูกพลัมแสนสวย (แคโรลีน เฮอร์เฟิร์ธ)เขาเฝ้าติดตามหล่อนมาจนใกล้ชิดในขณะที่หญิงสาวไม่รู้สึกถึงการติดตามเลย และแล้วหญิงสาวรู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกเมื่อหันหน้ามาพบสายตาเกรอนุยที่กำลังจ้องตรงมาที่เธอ เธอส่งเสียงกรีดร้องเกรอนุยจึงใช้มือปิดปากเธอไว้ และลากตัวเธอเข้าไปแอบในเงามืดเพื่อหลบเลี่ยงชายหญิงคู่หนึ่งที่เดินผ่านมา จากเงามืดนั้นเกรอนุยเฝ้ามองชายหญิงคู่นั้นจุมพิตกัน ในขณะที่หญิงขายลูกพลัมพยายามดิ้นรนเพื่อให้มีอากาศหายใจ สุดท้ายเมื่อหนุ่มสาวคู่นั้นเดินลับหายไป เกรอนุยจึงปล่อยตัวหญิงสาวในอ้อมแขนเขาแล้วพบว่าเขาได้พลั้งมือฆ่าหญิงสาวคนนั้นเสียแล้ว เขาพยายามสูดดมกลิ่นหอมของเธออย่างหลงไหลและสิ้นหวัง พยายามดื่มด่ำและกอบโกยมันด้วยสองมือของเขาราวกับมันคือของเหลว แต่กลิ่นที่ยากจะต้านทานของเธอกลับจางหายไปเมื่อชีวิตสูญหายไปจากร่างกายนั้น และเกรอนุยรู้สึกเศร้าใจอย่างสาหัสต่อการสูญเสียกลิ่นหอมรัญจวนใจไป ส่งผลให้เขามุ่งมั่นในการทำหน้าที่ในการเสาะหากลิ่นหอมนั้นและรักษามันไว้ตลอดไปให้ได้

เกรอนุยจึงไปฝึกงานบัลดินี่ (ดัสติน ฮอฟฟ์แมน) คนทำน้ำหอมที่ธุรกิจกำลังย่ำแย่ และกำลังเฝ้ามองหากลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ใหม่ เกรอนุยแสดงให้เห็นถึงพลังของเขาในการสร้างกลิ่นหอมที่สมบูรณ์แบบที่จะกู้ชื่อเสียงของบัลดินี่กลับมา เพื่อแลกเปลี่ยนกันเกรอนุยขอให้บัลดินี่สอนเขาถึงเรื่องหัวใจของการสร้างและรักษากลิ่นหอมเอาไว้ เมื่อเกรอนุยได้เรียนรู้ว่ากลิ่นของมนุษย์ที่มีลมหายใจนั้นไม่สามารถกลั่นให้กลายเป็นหัวน้ำหอมได้ เขาแทบสิ้นชีวาวายด้วยความตกใจและสิ้นหวัง แต่บัลดินี่บอกเขาว่าที่เดียวที่ใช้วิธีการอันแสนลึกลับโดยใช้ไขมันดูดซับกลิ่นหอมไว้ได้ก็คือเมืองกลาส ที่นั่นเกรอนุยจะได้พบความรู้ที่เขาต้องการ

เกรอนุยจึงออกเดินทางสู่เมืองกลาสโดยก่อนไปเขาได้มอบสูตรน้ำหอมนับพันสูตรให้กับบัลดินี่เป็นการตอนแทน และทันทีที่เขาออกเดินทางไปจากบัลดินี่ ภัยพิบัติก็มาเยีอนชายชรา ตึกเก่าคร่ำคร่าที่เป็นที่อยู่อาศัยของเขาได้พังทลายลงมาในคืนนั้น ระหว่างที่เกรอนุยออกเดินทางไปยังเมืองกลาสนั้น เขาได้พักในถ้ำแห่งหนึ่งในมาสซิฟ เซ็นทรัล ที่นั่นเกรอนุยได้พบว่าเขาไม่มีกลิ่นของตัวเขาเอง และเขาได้ตระหนักว่าการที่ไม่มีกลิ่นกายนั้น ก็เหมือนการไม่มีตัวตนอยู่บนโลกนี้ สิ่งนี้รบกวนความคิดของเขาและสร้างความรวดร้าวใจรวมทั้งเป็นแรงกระตุ้นให้แก่เขาเป็นอย่างมากที่จะพยายามสร้างกลิ่นสำหรับตัวเขาเอง

ระหว่างเดินทางไปยังเมืองกลาส รถที่ลอร่า (เรเชล เฮิร์ด-วู้ด) บุตรีแสนสวยของพ่อค้ารายหนึ่งผ่านหน้าเขาไป เกรอนุยสูดดมกลิ่นในอากาศ นี่เป็นอีกครั้งที่กลิ่นหอมรัญจวนซึ่งก่อนหน้านี้เคยเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในชีวิตของเกรอนุย ได้บังเกิดขึ้นกับเขาอีกครั้ง มันคือกลิ่นหอมที่เกรอนุยต้องครอบครองให้ได้

เกรอนุย เข้าไปทำงานเป็นช่างให้กับมาดามอาร์นูลฟี่ (โครินน่า ฮาร์ฟาช) ซึ่งเป็นเจ้าของร้านทำน้ำหอมเล็กๆ แห่งหนึ่ง เขาได้เงินเดือนก้อนเล็กๆ และที่พักเป็นกระท่อมที่ไร้หน้าต่าง เกรอนุยมุ่งมั่นที่จะเป็นเจ้าแห่งศิลปะการทำน้ำหอม และจะต้องให้ได้มาซึ่งทุกกลิ่นที่เขาปรารถนา

เขาใช้ความพยายามและทักษะจากการเรียนรู้ในการทดลองต่าง ๆ เพื่อที่จะเก็บรักษากลิ่นจากร่างกายของมนุษย์ ไม่ว่าจะจากการกลั่นหรือการสกัด เขาพัฒนาทักษะและความชำนาญโดยผ่านการทำงานกับมาดามอาร์นูลฟี่ และในที่สุดเขาก็ค้นพบวิธีการเก็บกลิ่นเฉพาะตัว ซึ่งได้พัฒนามาจากการเก็บกลิ่นหอมของดอกไม้ในไขมันซึ่งเป็นทักษะจากงานที่เขาทำนั่นเอง

ทำไมต้องเป็นกลิ่นของหญิงสาวเหล่านั้น เหตุผลคือ “ตัวตน” ของพวกหล่อน คือ ตัวตนแห่งความงดงาม ความน่าชื่นชม ความเป็นบุคคลอันเป็นที่รักของผู้อื่น ซึ่งเกรอนุยไม่เคยถูกมนุษย์คนใดในโลกมองว่าเขาเป็นเช่นนั้น

และแล้ววิธีของเขาก็ใช้ได้ผลเมื่อเขาได้เก็บความหอมเฉพาะตัวของโสเภณีเคราะห์ร้ายรายหนึ่งที่เข้ามาเสนอให้บริการเขาโดยที่ไม่รู้ถึงชะตากรรมของตนเอง และเมื่อเขาสามารถเก็บกลิ่นหอมของมนุษย์ได้ นั่นยิ่งสร้างความมั่นใจให้แก่เขาอย่างมหาศาลและแน่นอนที่สุดเขาเริ่มทำน้ำหอมมนุษย์อย่างลุ่มหลง

ในหลายสัปดาห์ต่อมา หญิงสาวสวยหลายคนถูกฆาตกรรม ริชิส (อลัน ริคแมน) พ่อค้าของเมืองเป็นเพียงคนเดียวที่สงสัยว่าเจ้าฆาตกรรายนี้จะต้องเป็นพวกชอบสะสมของสวยงาม ในตอนแรกฆาตกรลงมือสังหารหญิงสาวชาวบ้าน ตั้งแต่พวกคนเลี้ยงแกะ คนขายมะนาว สาวรีดนมวัว แต่เมื่อลูกสาวฝาแฝดของทัลเลียน เพื่อนของเขา (คาร์ลอส รี๊ก) โดนฆ่าตายและพบเป็นศพร่างกายเปลือยเปล่าพร้อมกับสภาพศีรษะที่โดนโกนผม ริชิสเริ่มหวาดกลัวว่าลอร่า ลูกสาวแสนสวย ซึ่งเป็นสาวงามที่สุดในเมืองนั้นของเขาจะกลายเป็นเหยื่อรายต่อไป

บัดนี้ หญิงสาวกว่า 12 คน (รวมถึงศพก่อน ๆ ที่เกรอนุยจะค้นพบวิธีสกัดกลิ่น) ถูกพบเป็นศพ เกรอนุย เปิดตู้ใบเล็กๆ ของเขาและมองจ้องดูขวดแก้วเล็กๆ 12 ใบ ซึ่งแต่ละใบบรรจุไปด้วยน้ำมันสีอำพันไม่กี่หยด ที่ขาดไปมีเพียงกลิ่นเดียวเท่านั้น และเป็นกลิ่นสุดท้ายที่จะสร้างความสมบูรณ์ให้กับน้ำหอมของ เกรอนุย

และด้วยความรู้เรืองการผสมน้ำหอมจากบัลดินี่ ทำให้เขารู้ว่ากลิ่นทั้ง 12 นั้นเป็นเพียงตัวขับและส่งให้กลิ่นที่ 13 ที่ต้องคัดสรรมาเป็นอย่างดีโดดเด่นและคู่ควรแก่การคนึงหา กลิ่นที่ดีสามารถทำให้คนที่ได้สัมผัสกลิ่นนั้นมีความรู้สึกราวกับอยู่บนสวรรค์ และเสียการควบคุมตนเอง

ผู้คนในเมืองต่างรู้สึกเสียขวัญจนพากันเอาไม้ตอกปิดประตูบ้านและปิดตายหน้าต่างทุกบาน ผู้ต้องสงสัยข้อหาฆาตกรรมหญิงสาวเหล่านี้โดนจับตัวและทรมาณจนเขายอมรับสารภาพในบาปที่เขามิได้ก่อ แต่ริชิสเชื่อว่าทางการจับผิดคน

ในค่ำคืนหนึ่ง ริชิสหนีออกจากเมืองไปพร้อมกับลูกสาวและพาเธอไปยังที่ปลอดภัย ณ โรงแรมชายทะเลแห่งหนึ่ง แต่เกรอนุยก็สามารถใช้จมูกที่แสนวิเศษติดตามกลิ่นของลอร่าไปไกลจนถึงเมอดิเตอร์เรเนี่ยน เขาเล็ดลอดเข้าไปยังที่พักของริชิสอย่างเงียบเฉียบที่สุด ด้วยความเคลื่อนไหวดุจปีศาจและไร้ซึ่งกลิ่นและร่องรอย เช้าวันรุ่งขึ้น ริชิสจึงพบศพลูกสาวของเขานอนเปลือยเปล่า เขาถึงกับหมดหวังในชีวิต เขาอาฆาตและเคืองแค้น พร้อมทั้งสัญญากับตัวเองว่าเขาจะลากคอฆาตกรมาลงโทษให้ได้

เกรอนุยคุกเข่าอยู่ข้างกองไฟเล็กๆ ในป่า ที่ซึ่งเขาจัดอุปกรณ์ทุกอย่างพร้อมแล้ว เขาหยดน้ำมันหยดสุดท้ายแต่สำคัญอย่างยิ่งยวดใส่ลงไปในขวดเล็กๆ และจัดการผสมน้ำมันชนิดสุดท้ายเข้ากับน้ำมันอื่นอีก 12 ขวด ราวตกอยู่ในภวังค์ ทำให้เขาไม่ทันได้สนใจกลิ่นแปลกปลอมที่รายรอบอยู่รอบตัวเขา ในที่สุดเขาตกอยู่ในวงล้อมของทหารและถูกจับตัวได้ โดยก่อนถูกจับตัวเขาได้เก็บซ่อนขวดน้ำหอมเอาไว้ในกระเป๋า เมื่อกลับไปถึงกลาส เกรอนุยยอมสารภาพความผิดทั้งหมด แต่ยังคงปิดปากเงียบเกี่ยวกับแรงจูงใจของเขา แม้จะถูกทรมาณอย่างแสนสาหัส

ฝูงชนกลุ่มใหญ่พากันมุ่งหน้าสู่จตุรัสกลางเมืองกลาสในวันประหารและเรียกร้องให้จัดการกับเกรอนุย อย่างบ้าคลั่ง เมื่อเกรอนุยถูกตัดสินประหารชีวิต ก็สร้างความโล่งใจและลิงโลดให้แก่ฝูงชนที่บ้าคลั่งเป็นอย่างมาก และเมื่อถึงเวลาที่จะต้องเข้าสู่แดนประหาร เกรอนุยก็งัดไม้ตายสุดท้ายของเขาขึ้นมา เขาใช้กลิ่นจากน้ำหอมมนุษย์ที่เขาปรุงขึ้นเข้าควบคุมความรู้สึกของผู้คุม และเมื่อเขาเข้าสู่จตุรัสกลางเมื่องซึ่งเป็นแดนประหารเขาแอบหยดน้ำหอมของเขาลงที่ผ้าเช็ดหน้า ลมได้พัดพาผ้าที่มีกลิ่นหอมนั้นไปยังกลุ่มคนที่มาชุมนุมกันอยู่ กลิ่นหอมนั้นได้ทำให้ผู้คนเคลิบเคลิ้มหลงใหลต่างอุทานว่าเขาบริสุทธิ์ และแซ่ซ้องว่าเขาเป็นทูตสวรรค์ เขาสามารถใช้น้ำหอมควบคุมความรักของมนุษย์ได้สำเร็จ

แม้แต่ริชิสเองก็ยังยกแขนขึ้นโอบกอดร่างของผู้ลงมือสังหารลูกสาวเขา ร้องไห้สะอึกสะอื้นร้องขอให้ยกโทษให้ เกรอนุยผู้ไม่เคยได้สัมผัสความรักมาก่อนในชีวิตถึงกับล้มพับลง และสดับได้ถึงความเป็นจริงบางอย่าง ขณะที่ชาวเมืองกำลังตกอยู่ในความลุ่มหลง เกรอนุยจึงค่อยๆลักลอบหนีออกมาจากแดนประหารนั้น

แต่แล้วเขากลับตระหนักว่า สิ่งที่ทำให้มนุษย์ผู้อื่นบอกว่าเขามีค่า บอกว่าเขาดีงาม ไม่ใช่ตัวตนของเขา แต่เป็นผลจากกลิ่นน้ำหอม ซึ่งมันหมายความว่าเขาก็ยังคงเป็น “คนไร้ตัวตน” เหมือนกับที่เคยเป็น เกรอนุยจึงตัดสินใจเดินทางกลับไปยังตลาดที่เขาเกิด ซึ่งทำให้บรรดาขอทานในบริเวณนั้นคลั่งไคลเขาจนมาแย่งรุมกันฉีกเนื้อกิน

เกรอนุย ยังคงมีน้ำหอมมากพอที่จะทำให้ทั้งโลกต้องมนต์สะกด แต่เขากลับเลือกเดินทางไปยังที่ที่เขาถือกำเนิดมานั้นคือตลาดปลาในปารีส เพราะเขาได้ตระหนักว่าสิ่งที่ทำให้มนุษย์ผู้อื่นบอกว่าเขามีค่า บอกว่าเขาดีงาม ไม่ใช่ตัวตนของเขา แต่เป็นผลจากกลิ่นน้ำหอม ซึ่งมันหมายความว่าเขาก็ยังคงเป็น “คนไร้ตัวตน” เหมือนกับที่เคยเป็นมา ณ ที่ที่เขาลืมตาดูโลกเป็นครั้งแรกนี่เองที่เขาต้องการความรักและเป็นที่รักอย่างบริสุทธิ์ใจครั้งเป็นสุดท้าย เขาราดน้ำหอมลงบนตัวและปล่อยให้ตัวเองถูกบรรดาขอทานผู้แร้นแค้นกัดกินอย่างรักใคร่ เพียงไม่กี่อึดใจร่างกายของเขาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่เหลือสิ่งใดที่เป็น ฌอง แบ็ปติส เกรอนุย ในโลกนี้ เฉกเช่นเดียวกับตอนที่เขาเกิดและมีชีวิตอยู่อย่างไร้ตัวตนตลอดมา

บทวิเคราะห์

ภาพยนตร์เรื่อง Perfume: The Story of a Murderer หรือชื่อภาษาไทยว่า “น้ำหอมมนุษย์” ออกฉายครั้งแรกในปีค.ศ. 2006 โดยฉายในประเทศเยอรมนีเมื่อวันที่ 14 กันยายน ค.ศ. 2006 ฉายในอเมริกาวันที่ 27 ธันวาคม ค.ศ. 2006 ส่วนในประเทศไทยออกฉายเมื่อวันที่ 4 มกราคม ค.ศ. 2007 ภาพยนตร์ดังกล่าวกำกับการแสดง โดย Tom Tykwer ตัดต่อโดย Alexander Berner เป็นภาพยนตร์ที่ดัดแปลงมาจากวรรณกรรมชิ้นเอกของเยอรมันเรื่อง Das Parfum เขียนโดย Patrick Süskind ที่ตีพิมพ์ตั้งแต่ปี ค.ศ.1985 ซึ่งเป็นนวนิยายที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างแพร่หลายในตะวันตก ถูกแปลไปแล้วถึง 25 ภาษา มียอดจำหน่ายทั่วโลกมากกว่า 15 ล้านเล่ม ในบ้านเรานั้นตีพิมพ์โดยใช้ชื่อว่า น้ำหอม แปลโดย สีมน ตีพิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2536

ในส่วนของบทภาพยนตร์นั้นได้นำเอานวนิยายมาดัดแปลงได้อย่างเหมาะสม แม้ว่าจะมีการตัดทอนบางประเด็นในเรื่องราวออกไป ก็ถือว่าอยู่ในลักษณะที่ยอมรับได้ แต่อย่างไรก็ดีประเด็นในเรื่องของแรงจูงใจของเกรอนุยในช่วงท้ายๆเรื่องนั้นนับว่ามีความแตกต่างกับต้นฉบับนวนิยายอยู่พอสมควร จึงอาจจะทำให้ผู้ชมเกิดการสับสนกับการกระทำของตัวเอกในช่วงท้ายของเรื่องได้ ดังนั้นหากได้อ่านในฉบับนวนิยายก็จะช่วยเติมเต็มในส่วนนี้ด้วยบทบรรยายต่างๆ ซึ่งจะทำให้เข้าใจเรื่องราวได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

ภาพยนตร์เรื่องPerfume: The Story of a Murderer นี้เป็นภาพยนตร์แนว Thriller ย้อนยุค แม้จะมีเนื้อหาเกี่ยวกับฆาตกรและการฆาตกรรมต่อเนื่อง แต่ภาพยนตร์ได้สื่อออกมาในเชิงจิตวิทยา ไม่มีภาพเลือดท่วมจอ สภาพศพไม่เละ ไม่มีฉากชวนสยอง แต่พอจะมีฉากที่ทำให้รู้สึกขยะแขยงอยู่บ้าง ฉากและเครื่องแต่งกายถูกออกแบบให้สวยงาน อลังการ แต่ปกคลุมด้วยสีสันที่หม่นหมอง บรรยากาศสมจริงจนน่าหดหู่ นอกจากนี้ในภาพยนตร์ยังได้แสดงให้เห็นถึงขั้นตอนในการผลิตน้ำหอม และความสำคัญของน้ำหอมต่อผู้คนในยุคสมัยนั้นอีกด้วย

หน้า จาก ๘ หน้า