Read me 28 - page 35

เทคโนโลยีที่เด็กสมัยนี้รู้ จักกันมากที่สุดก็คือ ‘คอมพิวเตอร์ ’
เพราะเป็นเทคโนโลยีที่ เกิดขึ้ นมาก่อนสมาร์ทโฟนหรื อแท็บเล็ ต
โดยปกติการใช้ คอมพิวเตอร์ของเด็กในวั ยก่อนเข้ าโรงเรียนมักจะ
ถูกมองว่ ามีข้ อเสี ยมากกว่าข้อดี แต่ผลการศึกษาเด็ก 122 คน
ที่เข้าร่วมโครงการ Head Start ในสหรัฐอเมริ กา ซึ่งได้รับอนุญาต
ให้ใช้คอมพิวเตอร์ได้ 15-20 นาที ต่อวันโดยให้ใช้โปรแกรมด้ านการ
ศึกษาและน�ำไปเทียบกับเด็ กที่เตรียมความพร้อมด้วยวิธีปกติ พบว่า
ผลการทดสอบของเด็กที่ใช้คอมพิ วเตอร์หลังจากผ่านหลักสูตรไป 6
เดือนมีความพร้อมส� ำหรับการเข้าเรียนมากกว่ าและมีพั ฒนาการ
ทางสติปัญญามากกว่า และที่ ส�ำคัญยั งพบว่าเด็กที่ใช้คอมพิวเตอร์
ทั้งที่บ้านและที่โรงเรี ยนมีพั ฒนาการดีกว่ าเด็กที่ใช้คอมพิวเตอร์แต่
ที่โรงเรียนอีกด้วย
ส่วนพ่อแม่ที่ให้ลูกใช้ ‘โทรศัพท์มือถือ’ บอกว่า พวกเขา
เป็นห่วงเรื่ องความปลอดภัยของลูก ดังนั้ น หากลูกมีโทรศัพท์มือ
ถือแล้วก็ ต้องการให้สามารถโทรศัพท์ฉุกเฉินไปหาผู้ปกครองได้เมื่อ
มีปัญหา ส่วนพ่อแม่เองก็สามารถตรวจสอบพิ กัดของลูกผ่านระบบ
โลเคชั่นได้ด้วย เหตุผลต่อมาก็คือด้ านความสะดวกสบาย เช่นถ้า
ลูกเกิดเลิกเรียนเร็วกว่าปกติ ก็สามารถโทรให้คุณแม่มารับได้ทันที
ขณะเดียวกันเมื่ อลูกมีโทรศัพท์มือถือก็จะช่วยฝึกความรับผิดชอบ
ได้อีกทางหนึ่ ง อย่างไรก็ ตามรุ่นของโทรศัพท์ ที่ให้ลูกใช้ ก็ไม่ควรแพง
นัก และควรใช้แบบเติมเงิ นมากกว่ารายเดือนเพื่อป้ องกันลูกเผลอ
ใช้เงิ นจนเกินขอบเขต
โทรศัพท์มือถื อสมัยนี้ ไม่ได้มีไว้แค่ โทรเข้ า-ออกอย่างเดียว
เท่านั้น สิ่ งที่ท�ำให้สมาร์ ทโฟนแตกต่างจากโทรศั พท์มือถื อในอดีต
ก็คือ ‘แอพพลิเคชั่ น’ ซึ่ งปัจจุบั นมีให้ ดาวน์โหลดนั บล้านแอพ
ดังนั้น หากผู้ปกครองสามารถเลื อกแอพพลิเคชั่นที่ช่วยให้ เด็กมี
พัฒนาการที่เหมาะสม และมีเวลามากพอที่จะอยู ่ดูแลลูกเวลาใช้งาน
สมาร์ทโฟนแล้ว สมาร์ทโฟนก็จะมีประโยชน์ต่อเด็กอย่างแน่ นอน
แถมเด็กยังเรียนรู้ได้อย่ างสนุกสนานผ่านระบบการมีปฏิ สัมพันธ์
(Interaction) อีกด้วย
นอกจากสมาร์ทโฟนแล้ ว อี กหนึ่ งเทคโนโลยี ที่มี ความ
คล้ายคลึงกันและได้รับความนิยมไม่แพ้กันก็คือ ‘แท็ บเล็ต’ ซึ่งหาก
เด็กใช้อย่างถูกวิธีแล้วก็จะเป็ นประโยชน์ได้เช่นกัน เหมือนการศึกษา
ของกระทรวงศึกษาสหรั ฐฯ ที่พบว่าแอพพลิเคชั่นด้านการศึกษาที่ชื่อ
ว่า ‘Martha Speaks’ ช่วยให้เด็กวัย 3-7 ปีเรียนรู้ค�ำศัพท์ ได้ดีขึ้นถึง
31% ภายในเวลา 2 สัปดาห์ ซึ่งคล้ายกับที่ศาสตราจารย์โรส ลัคกิ้น
จากมหาวิทยาลัยลอนดอนที่พบว่าเด็กวัย 5-6 ขวบที่บันทึกกิจกรรม
ที่ท�ำในโรงเรียนทางแท็ บเล็ตแล้วกลับมาเปิ ดให้พ่อแม่ดูมีแนวโน้มที่
จะเรียนรู้ดีกว่าและยังมีปฏิสัมพันธ์ กับผู้ปกครองมากขึ้นด้วย
‘วี ดีโอเกม’ ก็เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่แม้ ผู้ปกครอง
จะเห็นว่ามีผลดีน้อยที่สุด แต่ การศึกษา มหาวิทยาลั ยอ็อกซ์ฟอร์ ด
ท�ำการศึกษาการเล่นวีดีโอเกมหลากหลายชนิ ด อาทิ คอมพิวเตอร์
วี (Wii) และเพลย์สเตชั่น (PlayStations) ของเด็กอังกฤษอายุ
ระหว่ าง 10-15 ปี วันละไม่เกิน 1 ชั่วโมง จ�ำนวน 5 พันคน เปรียบ
เทียบกั บเด็กที่ไม่เล่นเลย กลั บพบว่า เด็ กที่เล่ นเกมสามารถปรับตัว
ได้ดี มีทักษะทางสังคม มีความสุขในชีวิตมากกว่ าเด็กที่ไม่เล่ นเลย
นอกจากนี้ ยังมีปัญหาทางอารมณ์ และอาการของโรคสมาธิสั้นน้อย
กว่ าอีกด้วย โดยสาเหตุที่การเล่นเกมอย่างเหมาะสมส่ งผลดีต่อเด็ก
การศึกษาชิ้ นนี้ระบุว่า เกมเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยพัฒนาสติปัญญา
พั ฒนานิสัยชอบส�ำรวจสิ่งแปลกใหม่ ผ่ อนคลายเพราะได้เล่นกั บ
เพื่ อน ซึ่งต่างจากโทรทัศน์ที่เด็กได้แต่นั่งอยู่นิ่งๆ ไม่มีปฏิสัมพันธ์ ใด
ใดอย่างไรก็ตาม การศึกษาพบว่าเด็กที่เล่ นมากกว่า 3 ชั่วโมงต่ อวัน
จะเป็นผลเสียมากกว่าผลดี ขณะที่เด็กที่เล่ นระหว่าง 1-3 ชั่วโมงจะ
ไม่ได้ทั้งประโยชน์ หรือโทษเลย
ผลดีของการเล่นวีดีโอเกมยังได้รับการตอกย�้ ำอีกครั้ งจาก
การศึกษาของศูนย์การเรียนรู ้เทคโนโลยีของประเทศอิ สราเอล ที่
ศึกษาเด็กอายุตั้งแต่ 6-18 ปี จ�ำนวน 1 พั นคน และพบว่า วีดีโอเกม
ทุกประเภทแม้ กระทั่งเกมที่มีความรุนแรง ส่งผลดีกับเด็กมากกว่าที่
คนทั่วไปคิด เนื่องจากพบพัฒนาการของสติปัญญา ระบบการเรียน
รู้ และทักษะการอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสั งคม อาวี วาร์ชาฟสกี ผู้ศึกษา
มองว่า เกมช่วยสอนให้ เด็กรู้จักค� ำว่าแพ้เพราะเมื่อไหร่ที่เด็กเล่นเกม
เด็กสามารถแพ้ได้ ซึ่งสิ่งนี้ ต่างจากที่คุณครู สอนที่โรงเรียน ครู มัก
จะบอกให้ เด็กแข่ งขันกันเอาชนะ เอาให้ได้ เกรดดีๆ และไม่ มีโอกาส
แก้ตัว
แต่ สิ่งที่ส�ำคั ญที่สุดที่ จะท�ำให้ เด็ก GenZ สามารถใช้
เทคโนโลยี ได้อย่างมีประโยชน์ก็คือ การที่ผู้ปกครองจะต้องพู ดคุย
ในเรื่องเทคโนโลยี กับเด็กอย่างสม�่ำเสมอ เหมือนกับการศึกษาของ
ศูนย์ศึกษา Young and Well และมหาวิทยาลั ยเวสเทิร์น ซิดนีย์
ในออสเตรเลียที่ให้เด็กที่เข้าร่วมทดลองได้ออกแบบและฝึกการใช้
เทคโนโลยีอย่างปลอดภัยให้กับพ่อแม่ของตัวเอง และพบว่า เด็กที่
คุ้นเคยกับเทคโนโลยีโดยเฉพาะอินเทอร์เน็ตมีความรู้เรื่องความเสี่ยง
ด้านความปลอดภัยและความเป็ นส่วนตัวเป็นอย่างดี เช่นเดียวกัน
กับผู้ปกครองที่มีทัศนคติต่อการเรียนรู ้ดีขึ้นเมื่อสามารถศึ กษาการ
ใช้ งานเทคโนโลยีได้ อย่างปลอดภัยพร้ อมกับเด็ ก และยิ่งไปกว่า
นั้ น หากเด็กและผู้ปกครองได้พู ดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน
ในกิ จกรรมต่างๆ ที่ได้ท�ำแล้ว ความสัมพั นธ์ในครอบครัวก็ จะดีขึ้ น
ด้วย แต่อุ ปสรรคส�ำคั ญก็คือความรู้สึกของพ่อแม่เองที่รู้สึกว่าลูกรู ้
ดีกว่า ดั งนั้น ผู้ปกครองทุกคนจึงควรเปิดใจ และให้ เด็กๆ ได้สอน
ให้พ่อแม่ใช้เทคโนโลยี ซึ่งหากใช้เป็นแล้ว พ่อแม่ก็จะเข้าใจลูกเวลา
ใช้อุ ปกรณ์อิเล็ กทรอนิกส์ต่างๆ มากขึ้น และคราวนี้ พ่อแม่ก็จะมี
ทัศนคติ ต่อเทคโนโลยีในแง่ดี และไม่ห้ามลูกๆ จนเกินพอดีอีกต่อไป
เทคโนโลยี ‘ดี’ ต่อเด็ก
35