สารบัญ
ริ้วกระบวนฯสมัยรัตนโกสินทร์

หลังจากสิ้นกรุงศรีอยุธยาแล้ว สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงโปรดให้มีการฟื้นฟูพระราชพิธีกระบวน พยุหยาตราทางชลมารคขึ้นมาใหม่ พระราชพิธีกระบวนพยุหยาตราทางชลมารคจึงได้รับการสืบต่อ ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ต่อมาถึงทุกวันนี้

๘.๑ วัตถุประสงค์ของริ้วกระบวนพยุหยาตราทางชลมารคสมัยรัตนโกสินทร์

กระบวนพยุหยาตราทางชลมารคตามแบบแผนสมัยอยุธยา ได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาใหม่อีกครั้งในสมัย สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช มีการจัดทำตำรากระบวนเสด็จฯ ชื่อ “ตำราแบบธรรมเนียมในราชสำนัก” แบ่งเป็นหมวดตอนต้นเป็นตำรากระบวนเสด็จพระราชดำเนินครั้งกรุงศรีอยุธยา ทั้งกระบวนเสด็จ โดยทางชลมารคและทางสถลมารค กระบวนราบ, กระบวนช้าง, กระบวนม้า และกระบวนเสด็จไป พระพุทธบาท และในสมัยกรุงธนบุรีมีการจัดกระบวนเรืออันยิ่งใหญ่ เมื่อคราวโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จ- พระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนอินทรพิทักษ์ เสด็จขึ้นไปอันเชิญพระแก้วมรกตจากท่าเจ้าสนุกลงมา ณ เมืองธนบุรี กระบวนเรือในครั้งนั้นมีมากถึง ๒๔๖ ลำ

ต่อมารัชกาลที่ ๑ โปรดเกล้าฯให้เจ้าพระยาพระคลัง(หนู)รวบรวมรายชื่อและวิธีการจัดกระบวนเรือ ตามแบบที่มีอยู่ในสมัยอยุธยาขึ้น โดยแต่งเป็นคำประพันธ์ ชื่อ “ลิลิตพยุหยาตราเพชรพวง” พร้อมสร้าง เรือพระที่นั่งขึ้นมาใหม่ด้วย ความทรงจำเกี่ยวกับโบราณราชประเพณี ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนพยุหยาตรา ทางชลมารคจึงถูกรื้อฟื้นขึ้นอีกครั้ง

ในรัชกาลที่ ๔ จึงมีการใช้กระบวนพยุหยาตราทางชลมารคในพระราชพิธีสำคัญๆ เช่น การเสด็จเลียบพระนคร ในวันพุธเดือน ๖ แรม ๖ ค่ำ และด้วยเหตุที่ประเทศไทยได้เริ่มเข้าสู่กระแสการพัฒนาประเทศให้เจริญทัดเทียม แบบอารยธรรมตะวันตก จึงมีการปรับปรุงเส้นทางคมนาคม และพระราชพาหนะ เรือพระที่นั่งแบบเดิมจึงมิได้ ถูกนำไปใช้ในการเสด็จพระราชดำเนินอื่นใด นอกเหนือจากพระราชประเพณี จึงอาจกล่าวได้ว่า กระบวนพยุหยาตราทางชลมารคได้เปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์ เพื่อใช้ในพระราชพิธี มิใช่เพื่อเสด็จ พระราชดำเนินอย่างแท้จริง

ในรัชกาลที่ ๕ การจัดกองทัพอย่างตะวันตกเกิดขึ้น แต่ก็มีการสืบสานธรรมเนียมการใช้ เรือรบแบบโบราณ เช่น เมื่อครั้งที่เจ้าพระยาภูธราภัยยกกองทัพไปปราบฮ่อในปี พ.ศ. ๒๔๑๘ ครั้งนั้นได้มีการเคลื่อนทัพ ด้วยกระบวนเรือรบแบบโบราณ เพื่อเป็นปฐมฤกษ์ เสมือนการตัดไม้ข่มนาม โดยให้แม่ทัพนั่งเรือที่ชื่อ กระบี่ปราบมารเข้ารับพระทานน้ำสังข์ พร้อมพระราชทานเจิม

ในรัชกาลที่ ๗ ปี พ.ศ. ๒๔๗๐ ได้มีการชำระรูปแบบการจัดกระบวนเรือขึ้นใหม่ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตในการออกแบบ กระบวนเรือขึ้นใหม่ ทั้งหมด ๕ แบบ เพื่อความเหมาะสมกับพระราชพิธีที่สำคัญแตกต่างกันในรัชกาลที่ ๗ นี้ มีการจัดกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค เพื่อเฉลิมฉลองพระนครครบรอบ ๑๕๐ ปี ด้วยเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๗๕

นับจากนั้นก็ว่างเว้นการจัดมากระทั่ง ปี พ.ศ. ๒๕๐๐ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ เป็นปีที่ทางราชการได้จัดงานฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษขึ้น และหลังจากนั้นมีการจัดมีการกระบวนเรือพยุหยาตรา อีกหลายครั้ง อาทิ ในงานสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี ในปี พ.ศ. ๒๕๒๕ และในพระราชพิธีกาญจนาภิเษก ในปี พ.ศ. ๒๕๓๙

และใน ปี พ.ศ.๒๕๔๙ ซึ่งเป็นปีเฉลิมฉลองการครองราชย์ครบ ๖๐ ปี ก็ได้มีการจัดกระบวนพยุหยาตราทาง ชลมารค ด้วยเช่นกัน

๘.๒ ลักษณะหน้าที่และความเป็นมาของเรือพระที่นั่งและเรือในริ้วกระบวน

ในการเสด็จพระราชดำเนินทางน้ำของพระเจ้าอยู่หัวในสมัยโบราณนั้นเข้าใจว่าจะมีเรือ ๒ สำรับ เป็นเรือทอง อันหมายถึงเรือที่แกะสลักลวดลายและลงรักปิดทองสำรับหนึ่ง จะใช้เป็นเวลาเสด็จในกระบวนที่เป็นพระราชพิธี ส่วนอีกสำรับหนึ่งเป็นเรือไม้ซึ่งมักจะใช้ทรงในเวลาปกติทั่วไป ไม่ปะปนกัน

จากการจัดริ้วกระบวนเรือ พบว่าจะมีชื่อเรือต่างๆมากมายที่มาร่วมในกระบวน มีดังนี้
  • ๑. เรือประตู
  • ๒. เรือพิฆาต
  • ๓. เรือดั้ง
  • ๔. เรือกลองนอก-กลองใน
  • ๕. เรือตำรวจนอก-ตำรวจใน
  • ๖. เรือรูปสัตว์ เป็นเรือที่แกะสลักหัวเรือเป็นรูปสัตว์ต่างๆ ทั้งสัตว์จริงและสัตว์ในเทพนิยาย
  • สำหรับเรือรูปสัตว์ที่เหลืออยู่ในปัจจุบัน ได้แก่
    • ๑.) เรือครุฑเหินเห็จ
    • ๒.) เรือครุฑเตร็จไตรจักร
    • ๓.) เรือพาลีรั้งทวีป
    • ๔.) เรือสุครีพครองเมือง
    • ๕.) เรือกระบี่ปราบเมืองมาร
    • ๖.) เรืออสุรวายุภักษ์
    • ๗.) เรืออสุรปักษา
  • ๗. เรือแซ (เรือแซ เป็นเรือลำเลียงพล ศาสตราวุธยุทธโธปกรณ์ เสบียงอาหาร แล่นช้า) เรือแซ เป็นเรือของไทยมาแต่โบราณ เหตุที่ชื่อแซนั้น สันนิษฐานกันว่า น่าจะมาจากคำว่า “เซ” แปลว่า “แม่น้ำ”
  • ๘. เรือแซง
  • ๙. เรือริ้ว
  • ๑๐. เรือกิ่ง “เรือพระที่นั่งกิ่ง” เป็นเรือชั้นสูงสุด
  • ๑๑. เรือคู่ชัก
  • ๑๒. เรือชัยหรือเรือไชย
  • ๑๓. เรือโขมดยา
  • ๑๔. เรือพระที่นั่ง
  • ๑๕. เรือพระที่นั่งรอง
  • ๑๖. เรือศรี บ้างเรียกว่า เรือศรีสักหลาด
  • ๑๗. เรือกราบ
ประเภทเรือตามภารกิจ

ในกระบวนเรือ เรือพระที่นั่งและเรือในกระบวนต่างๆ มีการแบ่งลักษณะเรือตามภารกิจ โดยเรือประเภทต่างๆ มีหน้าที่ใช้สอยและเรียกนามดังนี้

  • (๑). เรือต้น คือ เรือพระที่นั่งทรงของพระมหากษัตริย์ แต่สมัยหลังความหมายของเรือประเภทนี้ได้เปลี่ยนไป หมายถึง เรือลำที่พระมหากษัตริย์เสด็จลำลอง แปลงพระองค์ไปตรวจดูแลทุกข์สุขของราษฎร์ โดยมิให้ผู้อื่นรู้
  • (๒). เรือที่นั่ง คือเรือพระที่นั่งซึ่งเรียกย่อ (ใช้เรียกเรือพระที่นั่งของพระบรมวงศานุวงศ์)
  • (๓). เรือพระที่นั่งทรง คือเรือพระที่นั่งที่พระมหากษัตริย์ทรงประทับ
  • (๔). เรือพระที่นั่งรอง คือเรือพระที่นั่งลำที่สำรองให้สำหรับยามเมื่เรือพระที่นั่งเกิดอุปสรรค
  • (๕). เรือพระที่นั่งกิ่ง คือเรือพระที่นั่งที่ขึ้นทำเนียบเป็นชั้นสูงสุด โดยมีลวดลายอย่างสวยงามที่หัวเรือ
  • (๖). เรือพระที่นั่งเอกไชย คือเรือพระที่นั่งชั้นเกือบเทียบเท่าเรือพระที่นั่งกิ่ง
  • (๗). เรือพระที่นั่งศรี คือเรือพระที่นั่งซึ่งมีลวดลายสวยงาม สำหรับพระมหากษัตริย์ทรงใช้ลำลอง
  • (๘). เรือพระที่กราบ เรือพระที่นั่งลำเล็กที่ใช้เสด็จไปพร้อมๆกับเรือพระที่นั่งศรี สำหรับเปลี่ยนลำเสด็จเข้าคลอง เล็กคลองน้อยได้สะดวก
  • (๙). เรือพลับพลา คือเรือพระที่นั่งที่พระมหากษัตริย์ทรงเปลี่ยนเครื่องทรง
  • (๑๐). เรือพระประเทียบ คือเรือพระที่นั่งสำหรับเจ้านายฝ่ายใน
  • (๑๑). เรือพระที่นั่งทรงและพระที่นั่ง
  • (๑๒). เรือเหล่าแสนยากรหรือเรือศีรษะสัตว์(เรือพิฆาต) คือเรือรบซึ่งบรรจุอยู่ในกระบวน
  • (๑๓.) เรือดั้ง คือเรือที่ทำหน้าที่ป้องกันหน้ากระบวนเรือ
  • (๑๔). เรือโขมดยา เป็นพาหนะแสดงสมณศักดิ์ของเจ้าอาวาสหรือเป็นเรือประจำยศของพระราชาคณะ (ปัจจุบันเรือประเภทนี้ไม่มีแล้ว และไม่ปรากฏว่ามีการใช้ในกระบวน)
  • (๑๕). เรือแซง คือเรือโขมดยา ๔ ลำที่อยู่ท้ายกระบวนเรือพระราชยาน (มิใช่ขนาบข้างกระบวนเรือพระราชยาน)< เรือแซงยุคกรุงรัตนโกสินทร์นี้มักจะใช้เรือกราบ
  • (๑๖). เรือตำรวจ คือเรือที่พระตำรวจประจำมีหน้าที่เป็นองค์รักษ์ พระตำรวจนี้คือตำรวจใหญ่ ตำรวจใน ตำรวจนอก หมายถึงข้าราชการในพระราชสำนัก
  • (๑๗). เรือกลอง คือเรือสัญญาณ เพื่อให้เรืออื่นหยุด หรือพาย หรือจ้ำ
  • (๑๘). เรือริ้ว คือเรือที่อยู่ในริ้วกระบวนที่แล่นตามกันไปในกระบวน
  • (๑๙). เรือกัน คือเรือที่ทำหน้าที่ป้องกันศัตรูมิให้จู่โจมมาถึงเรือพระที่นั่งทรง
  • (๒๐). เรือคู่ชัก หรือ เรือศีรษะสัตว์ที่ทำหน้าที่ลากเรือพระที่นั่ง (เมื่อมีความจำเป็น)
  • (๒๑). เรือประตู คือเรือคั่นระหว่างกระบวน
๘.๓ เส้นทางกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค ในสมัยรัตนโกสินทร์

เส้นทางกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค ในสมัยรัตนโกสินทร์ ที่จะกล่าวถึงคือ เส้นทางกระบวนพยุหยาตรา ทางชลมารคในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช รัชกาลที่๙ มีรายละเอียดเส้นทาง ดังนี้

เส้นทางกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค ในการฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ กระบวนเรือเริ่มตั้งแต่ หน้าวัดเขมาภิรตาราม จังหวัดนนทบุรี ผ่านท่าวาสุกรีไปท่าราชวรดิษฐ์

ส่วนเส้นทางในครั้งหลังๆ ที่ใช้ในการถวายผ้าพระกฐิน จะเริ่มจาก ท่าวาสุกรี ถึงท่าราชวรดิษฐ์ สุดเส้นทาง ที่วัดอรุณราชวรารามวรมหาวิหาร

เส้นทางสายกระบวนพยุหยาตราถวายผ้าพระกฐิน จึงขอยกตัวอย่างเส้นทางกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค เมื่อครั้งวันที่ ๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๒ ประกอบด้วยเส้นทางที่ผ่านสถานที่สำคัญ ดังนี้

  • ๑. ท่าวาสุกรี
  • ๒. วัดเทวราชกุญชร
  • ๓. วังเทเวศร์
  • ๔. วังบางขุนพรหม
  • ๕. ป้อมพระสุเมรุ
  • ๖. วังพระองค์เจ้าคำรบ ฯ
  • ๗. วังกรมพระนเรศวรฯ
  • ๘. วัดดุสิตาราม
  • ๙. วังหน้า
  • ๑๐. ท่าพระจันทร์
  • ๑๑. สถานีรถไฟบางกอกน้อย
  • ๑๒. โรงพยาบาลศิริราช
  • ๑๓. วัดระฆังโฆสิตาราม
  • ๑๔. ท่าช้าง
  • ๑๕. ท่าราชวรดิษฐ์
  • ๑๖. วัดอรุณราชวรารามวรมหาวิหาร
  • ๑๗. ป้อมวิไชยประสิทธิ์

เส้นทางในพระราชพิธีนี้ เป็นพระราชพิธีถวายผ้าพระกฐินจากท่าวาสุกรีมายังวัดอรุณราชวรารามวรมหาวิหาร เส้นทางในลำน้ำเจ้าพระยานี้ ไหลผ่านชุมชนในเขตพระนคร และสองฟากฝั่งแม่น้ำเป็นที่ตั้งของศาสนสถาน วัง ชุมชน ที่มีอดีตอันยาวนาน ได้แก่ ท่าวาสุกรี เป็นท่าเทียบเรือพระที่นั่ง สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๕ เป็นจุด ผ่านแรกบนฝั่งตะวันออกของแม่น้ำ วัดเทวราชกุญชร ชื่อเดิมคือวัดสมอแครง วังเทเวศร์ ตั้งอยู่ริมปากคลอง ผดุงกรุงเกษม เป็นวังของพลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระจันทบุรีนฤนาท พระตำหนักริมน้ำนี้ สมเด็จ- พระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ เคยประทับเมื่อครั้งทรงพระเยาว์ วังบางขุนพรหม ปัจจุบันคือ ธนาคารแห่งประเทศไทย ป้อมพระสุเมรุ อยู่ริมคูคลองเมืองเดิม เป็นป้อมกำแพงเมืองเก่า ที่เหลืออยู่ไม่กี่แห่ง ในปัจจุบัน วังพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าคำรบ เป็นตำหนัก ๒ ชั้น หันหน้าออกถนน ตัวอาคารมีเฉลียง ซุ้มประตู หน้าต่างติดไม้ฉลุลายงดงาม อยู่ไม่ห่างจากป้อมพระสุเมรุนัก

วังพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนเรศวรฤทธิ์ มีอาคารเหลืออยู่เพียง ๓ แห่ง คือ

  • ๑.) ทำเนียบท่าช้างซึ่งเคยเป็นบ้านพักของนายปรีดี พนมยงค์ ช่วง พ.ศ. ๒๔๘๘ – ๒๔๙๐
  • ๒.) บ้านมลิวัลย์ ที่ประทับของกรมพระนเรศวรฯ ภายในเป็นท้องพระโรงเดิม มีลวดลายศิลปะปูนปั้นจำลอง จากนครวัด ปัจจุบันเป็นที่ทำการองค์การสหประชาชาติ
  • ๓.) พระตำหนักและเรือนท่าน้ำพระองค์เจ้าหญิงมนัสสวาสดิศุขสวัสดิ์ ปัจจุบันเป็นที่ทำการของพุทธสมาคม แห่งประเทศไทย

วัดดุสิตาราม เป็นพระอารามหลวงเก่าสมัยอยุธยา

วังหน้ากรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทและพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ปัจจุบันเป็นที่ทำการของ วิทยาลัยนาฏศิลป์ โรงละครแห่งชาติ พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีอาคารเก่าที่ น่าสนใจคือ วัดบวรสถานสุทธาวาส (วัดพระแก้ววังหน้า) พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน พระที่นั่งสุทไธสวรรย์ พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย พระที่นั่งเอกอลงกฏ

โรงพยาบาลศิริราช เป็นพื้นที่เก่าของวังหลัง ปัจจุบันไม่มีอาคารเก่าหลงเหลือยู่อีกแล้ว

วัดระฆังโฆสิตาราม เป็นวัดเก่าสมัยกรุงธนบุรี เดิมชื่อวัดบางหว้าใหญ่

ท่าราชวรดิษฐ์ เดิมเคยมีกำแพงฉนวนสำหรับฝ่ายใน ต่อมาถูกรื้อถึงในสมัยรัชกาล ที่ ๔ แล้วโปรดฯให้สร้างหมู่ พระที่นั่ง ๔ หลัง แต่ปัจจุบันเหลืออยู่หลังเดียว คือพระที่นั่งราชกิจวินิจฉัย เป็นพระที่นั่งโถงแบบไทย

วัดอรุณราชวรารามวรมหาวิหาร หรือวัดแจ้ง เป็นวัดประจำรัชกาลที่ ๒ สถาปัตยกรรมและศิลปกรรมในวัดเป็น งานฝีมือที่ได้ชื่อว่าเป็นยุคทองของศิลปกรรมในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ที่ปรากฏเป็นสัญลักษณ์ คือ “พระปรางค์วัดอรุณ”

ป้อมวิไชยประสิทธิ์ ปัจจุบันคือกองทัพเรือ

หน้า จาก ๑๑ หน้า