แม้ว่าในกรุงสยามนี้จะเริ่มมีการชักธงแดงขึ้นเป็นสัญลักษณ์ของชาวสยามขึ้นมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชแห่งกรุงศรีอยุธยาแล้ว แต่การสร้างเสาธงเพื่อเอาไว้ชักธงขึ้นสู่ยอดเสาบนบกนั้นไม่เคยมีประเพณีมาก่อนในกรุงสยามมีแต่การชักธงขึ้นบนเสาธงของเรือต่างๆเท่านั้น จนกระทั่งมาถึงยุครัตนโกสินทร์ตอนต้นในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จึงได้เริ่มมีการสร้างเสาธงบนบกขึ้นมา โดยเริ่มต้นจากชาวต่างประเทศที่เข้ามาอยู่ในกรุงสยามก่อน ดังที่ปรากฎความในหนังสือ เรื่อง “ประชุมพงศาวดาร เล่ม ๓๔ เรื่องพงศาวดารเมืองเงินยาง เชียงแสน, ว่าด้วยเรื่องทูตฝรั่งสมัยกรุงรัตนโกสินทร์” ว่า
“เมื่อ ณ เดือน ๕ แรม ๑๕ ค่ำ ปีมะโรงโทศก จุลศักราช ๑๑๘๒ พ.ศ.๒๓๖๓ พระเจ้าแผ่นดินโปรตุเกสให้เจ้าเมืองโค ร่างข้อสัญญาทางพระราชไมตรี จะขอทำกับกรุงสยามเป็นสัญญา ๒๓ ข้อ มอบให้กาลสเดอลิลไวราเข้ามาอีก ขอให้กาลสเป็นกงสุลเยเนราล และขอพระราชทานที่ตั้งบ้านเรือนให้กาลสอยู่ และได้ให้ปักเสาธง...”
แต่สำหรับชาวสยามเองแล้วยังไม่ปรากฎว่ามีการตั้งเสาธงขึ้นบนบกแต่อย่างใด รวมทั้งพระมหากษัตริย์เองก็ยังไม่มีพระราชประสงค์ให้มีการตั้งเสาธงขึ้นเป็นการทั่วไป ดังที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้อธิบายไว้ในหนังสือ เรื่อง “ความทรงจำ” ว่า
“...เรือนชานในบ้านของคุณตาสร้างด้วยเครื่องไม้ทั้งนั้น มีตึกหลังเดียว เรียกว่า “หอสูง” ที่ท่านอยู่และฉันอยู่ต่อมาในตอนก่อนสร้างเป็นวัง มีของแปลกประหลาดอย่างหนึ่ง คือ เสาสำหรับชักธงเหมือนอย่างที่มีตามสถานกงสุลปักไว้ข้างหน้าบ้าน ฉันมาทราบในภายหลังว่าการทำเสาธงนั้นเกี่ยวกับการเมืองเป็นข้อสำคัญ ควรจะเล่าไว้ให้ปรากฏ คือในเมืองไทยแต่ก่อนมาการตั้งเสาชักธงมีแต่ในเรือกำปั่น บนบกหามีประเพณีเช่นนั้นไม่ มีคำเล่ากันมาว่าเมื่อในรัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดขนบธรรมเนียมฝรั่งให้ทำเสาธงขึ้น ณ พระราชวังเดิม อันเป็นที่เสด็จประทับ และชักธงบริวารเป็นเครื่องบูชาในเวลาเมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จไปทอดพระกฐิน เมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทอดพระเนตรเห็น ตรัสถามผู้ที่อยู่ใกล้พระองค์ว่า “นั่นท่านฟ้าน้อยเอาผ้าขี้ริ้วขึ้นตากทำไม” พิเคราะห์เห็นว่ามิใช่เพราะไม่ทรงทราบว่า ทำโดยเคารพตามธรรมเนียมฝรั่ง ที่มีพระราชดำรัสเช่นนั้นเพราะไม่โปรดที่ไปเอาอย่างฝรั่งมาตั้งเสาชักธงเท่านั้นเอง...”
อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว การเริ่มต้นของการตั้งเสาธงของไทยก็ได้เริ่มขึ้น ดังที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้อธิบายไว้ในหนังสือ เรื่อง “ความทรงจำ” ว่า
“...พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำรัสสั่งให้ทำเสาธงขึ้นทั้งในวังหลวงและวังหน้า เสาธงวังหลวงให้ชักธงตราพระมหามงกุฎ และเสาธงวังหน้าให้ชักธงจุฑามณี (ปิ่น) คนทั้งหลายก็เข้าใจกันว่า เสาชักธงนั้นเป็นเครื่องหมายพระเกียรติยศของพระเจ้าแผ่นดิน ครั้นเมื่อทำหนังสือสัญญาทางพระราชไมตรีกับรัฐบาลฝรั่งต่างประเทศแล้ว มีกงสุลนานาประเทศเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ มาตั้งเสาชักธงชาติของตนขึ้นตามสถานกงสุล เหมือนอย่างสถานกงสุลที่เมืองจีน คนทั้งหลายไม่รู้ประเพณีฝรั่งก็พากันตกใจโจษกันว่าพวกกงสุลจะเข้ามาตั้งแข่งพระราชานุภาพ ความทราบถึงพระกรรณของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงรำคาญพระราชหฤทัย จึงทรงพระราชดำริหาอุบายแก้ไขด้วยดำรัสสั่งเจ้านายต่างกรมกับทั้งขุนนางผู้ใหญ่ให้ทำเสาธงช้างขึ้นตามวังและที่บ้าน เมื่อมีเสาธงชักขึ้นมาก คนทั้งหลายก็หายตกใจ เรื่องนี้ฉันเคยเล่าให้พวกราชทูตต่างประเทศฟัง หลายคนพากันชอบใจชมพระสติปัญญาของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่าช่างทรงพระราชดำริแก้ไขดีนัก...”
จากการแก้ไขปัญหาเรื่องเสาธงของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทำให้เกิดมีเสาธงในกรุงสยามขึ้นมากมาย ดังที่ นายเทาเซนด์ แฮรีส ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดีแฟรงกลิน เพียร์ซ แห่งสหรัฐอเมริกา ให้เป็นผู้เข้ามาทำสัญญาการค้ากับสยาม เมื่อ พ.ศ.๒๓๙๙ ได้บรรยายเอาไว้ในหนังสือ เรื่อง “บันทึกรายวันของเทาเซนด์ แฮรีส” ดังนี้
“...ข้าพเจ้าคิดว่ากรุงเทพฯ ควรจะได้ชื่อว่าเมืองแห่งเสาธง ตามพระราชวังทุกแห่ง ตามวัดทุกวัด และตามบ้านเรือนของขุนนางทุกคน ท่านจะได้เห็นเสาธงตั้งเสียดฟ้านับเป็นจำนวนร้อยๆ มิฉะนั้น ก็เป็นจำนวนพันๆ...”
ทว่า เรื่องของการตั้งเสาธงในกรุงสยามนี้ ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่นิยมทำกันเป็นการชั่วคราวเท่านั้น เพราะพอหมดปัญหาเรื่องความตื่นตระหนกตกใจของราษฎรแล้ว ชาวสยามทั่วไปก็ไม่ได้เอาใจใส่ในเรื่องของเสาธงแต่อย่างใด ดังที่ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เล่าถึงตัวอย่างของจุดจบของเสาธงเหล่านั้น ว่า
“...แต่เมื่อฉันได้ไปบ้านคุณตา ปัญหาเรื่องเสาธงระงับมาช้านานแล้ว เสาธงของคุณตาก็ผุยังแต่จะหักโค่นจึงสั่งให้เอาลงเสีย”
เรื่องของการตั้งเสาธงนี้กลับมาได้รับความเอาใจใส่ขึ้นอีกครั้งในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อชาติไทยได้มีธงไตรรงค์เป็นธงประจำชาติ และชาวไทยก็ได้ชักธงชาติขึ้นสู่ยอดเสามาจวบจนกระทั่งปัจจุบัน
ทั้งนี้ “ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการใช้ การชัก หรือการแสดงธงชาติและธงของต่างประเทศในราชอาณาจักร พ.ศ.๒๕๒๙” กำหนดวิธีการชักธงชาติเอาไว้ ความโดยสรุป ดังต่อไปนี้
ธงชาติที่จะนำมาใช้ชัก หรือแสดง ต้องมีสภาพดี เรียบร้อย ไม่ขาดวิ่น และสีไม่ซีดจนเกินควร
เสาธงชาติจะมีขนาดสูง ต่ำ ใหญ่หรือเล็กเพียงไร ควรจะอยู่ ณ ที่ใด และจะใช้ผืนธงขนาดเท่าใดนั้น ให้อยู่ในดุลพินิจของหัวหน้าส่วนราชการระดับกรมหรือผู้ปกครองสถานที่หรือเอกชนผู้ครอบครองอาคารสถานที่หรืออาคารนั้นที่จะพึงพิจารณาให้เหมาะสมเป็นสง่างามแก่อาคารสถานที่นั้นๆ
การชักธงชาติให้ปฏิบัติดังต่อไปนี้๑. ผู้มีหน้าที่ชักธง ต้องแต่งกายเรียบร้อย
๒. เมื่อใกล้กำหนดเวลาชักธงขึ้น ให้เตรียมธงผูกติดกับสายเชือกทางด้านขวาของผู้ชักธงให้เรียบร้อย
๓. เมื่อถึงกำหนดเวลา ให้คลี่ธงออกเต็มผืน แล้วดึงเชือกให้ธงขึ้นช้าๆด้วยความสม่ำเสมอ จนถึงสุดยอดเสาธง แล้วจึงผูกเชือกไว้ให้ตึงไม่ให้ธงลดต่ำลงมาจากเดิม
๔. เมื่อชักธงลง ให้ดึงเชือกให้ธงลงช้าๆด้วยความสม่ำเสมอ และสายเชือกตึงจนถึงระดับเดิมก่อนชักขึ้น
๕. ในกรณีที่มีการบรรเลงเพลงเคารพหรือมีสัญญาณในการชักธงขึ้นและลงจะต้องชักธงขึ้นและลงให้ถึงจุดที่สุด พร้อมกับจบเพลงหรือสัญญาณนั้นๆ
การชักธงชาติในเวลาปกติ ณ อาคารสถานที่และที่ยานพาหนะ ให้ปฏิบัติดังต่อไปนี้๑. อาคารสถานที่และยานพาหนะของราชการฝ่ายทหารให้ปฏิบัติตามระเบียบหรือข้อบังคับของทหาร
๒. อาคารสถานที่ราชการฝ่ายพลเรือน ให้ชักธงทุกหน่วยงาน กรณีที่มีสถานที่ราชการหลายหน่วยงานในบริเวณเดียวกัน จะสมควรชักธง ณ ที่ใด ให้อยู่ในดุลพินิจของหัวหน้าหน่วยงานผู้ปกครองอาคารสถานที่นั้นๆจะตกลงกัน
๓. อาคารสถานที่ราชการฝ่ายพลเรือนที่ตั้งอยู่ในเขตพระราชฐาน การชักธงโดยการจัดตั้งเสาธงต่างหากจากตัวอาคารให้ได้รับความเห็นชอบจากเลขาธิการพระราชวัง
๔. สถาบันการศึกษาในสังกัดหรือในความควบคุมของทบวงมหาวิทยาลัย โรงเรียน ทุกประเภท และสถานศึกษาในสังกัดหรือในความควบคุมของกระทรวงศึกษาธิการให้ปฏิบัติตามระเบียบ ที่ทบวงมหาวิทยาลัย หรือกระทรวงศึกษาธิการกำหนด แล้วแต่กรณี
๕. เรือเดินทะเล ให้ปฏิบัติตามธรรมเนียมประเพณีของชาวเรือ
๖. เรือเดินในลำน้ำ ถ้าจะชักธงให้ชักไว้ที่ท้ายเรือ
๗. ที่สาธารณสถานและอาคารสถานที่ของเอกชน ถ้าจะชักธงให้ปฎิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการใช้ การชัก หรือการแสดงธงชาติและธงของต่างประเทศในราชอาณาจักร พ.ศ.๒๕๒๙ โดยอนุโลม
๘. ยานพาหนะอย่างอื่นนอกจากที่ระบุไว้ข้างต้น โดยปกติไม่ควรชักธง
โอกาสและวันพิธีสำคัญที่ให้ชักและประดับธงชาติ๑. วันขึ้นปีใหม่ ๑ มกราคม ๑ วัน
๒. วันมาฆบูชา ๑ วัน
๓. วันพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชและวันที่ระลึก ๑ วัน มหาจักรีบรมราชวงศ์ วันที่ ๖ เมษายน
๔. วันสงกรานต์ วันที่ ๑๓ เมษายน ๑ วัน
๕. วันฉัตรมงคล วันที่ ๕ พฤษภาคม ๑ วัน
๖. วันพืชมงคล ๑ วัน
๗. วันวิสาขบูชา ๑ วัน
๘. วันอาสาฬหบูชา ๑ วัน
๙. วันเข้าพรรษา ๑ วัน
๑๐. วันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระบรมราชินีนาถ วันที่ ๑๒ สิงหาคม ๑ วัน
๑๑. วันสหประชาชาติ วันที่ ๒๔ ตุลาคม ๑ วัน
๑๒. วันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๓ วัน วันที่ ๕ ๖ และ ๗ ธันวาคม
๑๓. วันรัฐธรรมนูญ วันที่ ๑๐ ธันวาคม ๑ วัน
นอกจากนี้ การประดับและชักธงในโอกาสหรือวันพิธีสำคัญอื่นๆ ให้เป็นไปตามที่ทางราชการ จะประกาศให้ทราบเป็นครั้งคราว กำหนดเวลาชักธงชาติขึ้นและลง๑. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐประดับธงชาติไว้ในสถานที่อันควรในบริเวณที่ทำการทุกวันและตลอดเวลา
๒. นอกเหนือจากข้อ ๑ ถ้าต้องมีการชักธงชาติขึ้นและลง ณ สถานที่ หรือบริเวณใด ให้เป็นไปตามกำหนดเวลาดังต่อไปนี้
๒.๑ ให้ชักธงชาติขึ้นสู่ยอดเสาเวลา ๘.๐๐ นาฬิกา โดยให้ชักธงขึ้นตามเสียงเพลงชาติที่บรรเลงต่อจากการเทียบเวลา ๘.๐๐ นาฬิกา ของสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย
๒.๒ ให้ชักธงชาติลงจากยอดเสาเวลา ๑๘.๐๐ นาฬิกา ตามเสียงเพลงชาติที่บรรเลงต่อจากการเทียบเวลา ๑๘.๐๐ นาฬิกา ของสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย
๓. สถานที่และยานพาหนะของฝ่ายทหาร การชักธงชาติขึ้นและลงให้ปฏิบัติตามระเบียบหรือข้อบังคับของทหาร
๔. เรือเดินทะเล การชักธงชาติขึ้นและลงให้ปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวเรือ
การทำความเคารพธงชาติ๑. เมื่อมีการชักธงชาติขึ้นและลงในพิธีการต่างๆ ให้แสดงความเคารพ โดยยืนตรง หันไปทางเสา อาคาร หรือสถานที่ที่มีการชักธงชาติขึ้นและลง จนกว่าจะเสร็จการ
๒. ในกรณีได้ยินเพลงชาติหรือสัญญาณการชักธงชาติ จะเห็นหรือไม่เห็นการชักธงชาติก็ตาม ให้แสดงความเคารพโดยหยุดนิ่งในอาการสำรวม จนกว่าการชักธงชาติหรือเสียงเพลงชาติ หรือสัญญาณการชักธงชาติจะสิ้นสุดลง
๓. ในกรณีอยู่ในอาคารหรือยานพาหนะที่ไม่สามารถยืนแสดงความเคารพได้ ให้แสดงความเคารพโดยหยุดนิ่งในอาการสำรวม จนกว่าการชักธงชาติหรือเสียงเพลงชาติ หรือสัญญาณการชักธงชาติจะสิ้นสุดลง
การลดธงชาติลงครึ่งเสาการลดธงชาติครึ่งเสากรณีใด เป็นเวลาเท่าใด ให้กระทรวงการต่างประเทศ สำนักพระราชวัง หรือส่วนราชการที่เกี่ยวข้องแล้วแต่กรณี แจ้งไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อนำเสนอนายกรัฐมนตรีสั่งการ และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งให้กระทรวง ทบวง กรม รัฐวิสาหกิจและผู้ที่เกี่ยวข้องทราบและปฏิบัติ
การชักธงชาติคู่กับธงอื่นการใช้ การชัก หรือการแสดงธงชาติคู่กับธงอื่น หรือร่วมกับธงอื่นตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยธง ยกเว้นธงพระอิสริยยศจะต้องไม่ให้ธงชาติอยู่ในระดับต่ำกว่าธงอื่นๆ และโดยปกติให้จัดธงชาติอยู่ที่เสาธงแรก ด้านขวา
การใช้ธงชาติคู่กับธงอื่นในงานพิธีซึ่งมีแท่นหรือที่สำหรับประธานให้จัดธงชาติอยู่ด้านขวาและธงอื่นอยู่ด้านซ้าย
การใช้หรือชักธงชาติคู่กับธงอื่นนอกเหนือจากที่กล่าวมาแล้วข้างต้นให้ทำดังต่อไปนี้๑. เมื่อรวมกับธงชาติแล้วเป็นจำนวนคี่ ต้องให้ธงชาติอยู่ตรงกลาง
๒. เมื่อรวมกับธงชาติแล้วเป็นจำนวนคู่ ต้องให้ธงชาติอยู่ตรงกลางทางด้านขวา (ด้านขวา หมายถึง ส่วนข้างขวาเมื่อดูออกมาจากภายในหรือจุดของสถานที่ที่ใช้ชัก แสดง หรือประดับธง)
การใช้ธงชาติร่วมกับพระพุทธรูปและพระบรมรูปการใช้ธงชาติร่วมกับพระพุทธรูปและพระบรมรูปในพิธีการต่างๆ เพื่อเป็นที่สักการะร่วมกัน ให้จัดธงชาติอยู่ด้านขวาของพระพุทธรูป พระบรมรูปอยู่ด้านซ้าย
การใช้ธงชาติร่วมกับธงของต่างประเทศการใช้ การชัก หรือการแสดงธงชาติคู่หรือร่วมกับธงของต่างประเทศ ให้ปฏิบัติดังนี้๑. การใช้ การชัก หรือการแสดงธงชาติคู่หรือร่วมกับธงของต่างประเทศ จะต้องเป็นไปในลักษณะที่เท่าเทียมกัน เช่น ขนาดและสีของธง และความสูงต่ำของเสาธง เป็นต้น
๒. ถ้าใช้หรือชักธงของต่างประเทศประเทศเดียว ต้องให้ธงชาติเคียงคู่อยู่ทางด้านขวาของธงต่างประเทศ
๓. ถ้าใช้หรือชักธงของต่างประเทศเกินกว่าหนึ่งประเทศ ซึ่งเมื่อรวมกับธงชาติแล้วเป็นจำนวนคี่ ต้องให้ธงชาติอยู่กลาง
๔. ถ้าใช้หรือชักธงของต่างประเทศเกินกว่าหนึ่งประเทศ ซึ่งเมื่อรวมกับธงชาติแล้วเป็นจำนวนคู่ ต้องให้ธงชาติอยู่กลางด้านขวา (ด้านขวา หมายถึง ส่วนข้างขวาเมื่อดูออกมาจากภายในหรือจุดของสถานที่ที่ใช้ชัก แสดง หรือประดับธง)
๕. กรณีที่เป็นการใช้ การชัก หรือการแสดงธงชาติในอาคารสถานที่ หรือมีข้อตกลงระหว่างประเทศ หรือประเทศภาคีกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น เช่นให้ใช้ ชัก หรือแสดงเรียงตามลำดับอักษร หรือเรียงตามลำดับการเป็นสมาชิก เป็นต้น ก็ให้ปฏิบัติตามข้อตกลงหรือข้อกำหนดนั้นๆได้
๖. การใช้ ชัก หรือการแสดงธงชาติในการแข่งขันกีฬาระหว่างประเทศ โดยปกติให้เป็นไปตามระเบียบข้อบังคับของสมาคมกีฬาระหว่างประเทศ หรือตามหลักสากลที่ยอมรับกันในนานาอารยประเทศ
๗. การใช้ธงชาติคู่กับธงของต่างประเทศสำหรับรถยนต์ให้ใช้ปักธงชาติไว้ทางด้านขวาและธงของต่างประเทศไว้ทางด้านซ้าย ส่วนยานพาหนะอื่นให้อนุโลมทำนองเดียวกัน เว้นแต่การใช้บนเรือให้เป็นไปตามธรรมเนียมประเพณีของชาวเรือ