สนธิสัญญาเบาว์ริง พุทธศักราช 2398 ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงลงพระปรมาภิไธยกับ เซอร์ จอห์น เบาว์ริง(Sir John Bowring) ผู้แทนของสหราชอาณาจักร ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของพัฒนาการทางเศรษฐกิจของไทย นับแต่นั้นเป็นต้นมาจนถึงสงครามโลกครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2482) เศรษฐกิจไทยจะผูกติดกับตลาดโลก และระบบทุนนิยมตะวันตกอย่างแน่นแฟ้นขึ้น ดังจะเห็นได้จากทิศทางของการค้า และการปรากฎตัวของผู้ประกอบการต่างชาติทั้งชาวตะวันตก และชาวจีน ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่ประเด็นทางเศรษฐกิจจะเป็นประเด็นหนึ่งที่ผู้เรียบเรียงหนังสือ Twentieth Century Impressions of Siam ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก เห็นได้ชัดว่า บทความที่กล่าวถึงการผลิต และการค้าในหนังสือเล่มนี้ต่างมีจุดมุ่งหมายที่จะให้ความรู้เกี่ยวกับทิศทางของเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนในสยาม รวมทั้งบุคคลที่มีบทบาททางเศรษฐกิจในขณะนั้น
อันที่จริง การทำการค้ากับต่างประเทศไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับชาวสยาม ตั้งแต่สมัยอยุธยามาจนถึงต้นรัตนโกสินทร์ สยามได้ทำการค้าทางทะเลมาโดยตลอด ดังปรากฏหลักฐานเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของชุมชนการค้านานาชาติที่อยุธยา เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ในตอนต้นรัตนโกสินทร์ หรือประมาณตั้งแต่รัชกาลที่ 3 เป็นต้นมา ตลาดภายนอกที่สยามค้าขายด้วยมากที่สุดได้แก่ตลาดจีน ระหว่างพ.ศ. 2368 ถึงพ.ศ. 2393 เรือสำเภาจะเข้าออกที่ท่าเรือของกรุงเทพฯ ปีละประมาณ 250-350 ลำ ซึ่งนำสินค้าประมาณ 75,000-100,000 ตันมาสู่สยาม ในระยะนั้น การค้าส่งออกของสยามจะประกอบด้วยสินค้าหลากหลายชนิด ที่สำคัญเป็นอันดับต้นๆ ได้แก่ ของป่า (หนังสัตว์ เขาสัตว์ ไม้หอม ครั่ง ยางไม้ รังนกเป็นต้น) น้ำตาล และพริกไทย ส่วนข้าวนั้น ส่งออกในปริมาณน้อยโดยมีมูลค่าการส่งออกอยู่ระหว่าง 2-3% ของสินค้าออกทั้งหมด สำหรับสินค้าเข้านั้น ส่วนใหญ่จะเป็นผ้าจากอินเดีย และเครื่องอุปโภค-บริโภคนานาชนิดจากจีน มีผู้ประมาณการไว้ว่า ในพ.ศ. 2393 หรือก่อนการทำสนธิสัญญาเบาว์ริง 5 ปี สยามส่งสินค้าออกเป็นมูลค่า 5.6 ล้านบาท และนำเข้าสินค้าจากภายนอกเป็นมูลค่าประมาณ 4.3 ล้านบาท
สนธิสัญญาเบาว์ริงส่งผลให้ชาวอังกฤษ และคนในบังคับของอังกฤษเข้ามาทำการค้าในสยามได้อย่างเสรี และยังได้ประโยชน์จากการที่สยามต้องกำหนดอัตราภาษีสินค้าขาเข้าไว้เพียง 3 % ซึ่งถือว่าต่ำที่สุดในเอเชียขณะนั้น อย่างไรก็ตาม สนธิสัญญาเบาว์ริงไม่ได้ทำให้การค้าของสยามขยายตัวมากขึ้นอย่างรวดเร็วดังที่คาดหวังเอาไว้ ในช่วงสองทศวรรษหลังจากการทำสนธิสัญญา หรือระหว่างพ.ศ. 2398-2418 มูลค่าการค้าโดยรวมของสยามจะอยู่ระหว่าง 10 ถึง 15 ล้านบาทต่อปี ซึ่งเป็นจำนวนที่ใกล้เคียงกับมูลค่าการค้าก่อนการทำสนธิสัญญาเบาว์ริง การค้าจะเริ่มขยายตัวอย่างเห็นได้ชัดหลังพุทธศักราช 2420 เป็นต้นไป จากสถิติการค้าที่นำเสนอในตารางข้างล่าง เห็นได้ว่า ใน พ.ศ. 2451 (ค.ศ. 1908) ซึ่งเป็นปีที่หนังสือ Twentieth Century Impressions of Siam ได้ถูกเรียบเรียงขึ้นนั้น การค้าของสยามในทศวรรษนั้นมีมูลค่าอยู่ระหว่าง 140 ถึง 170 ล้านบาทต่อปี ซึ่งขยายตัวมากขึ้นกว่าในช่วงก่อนการทำสนธิสัญญาเบาว์ริง 14-16 เท่าตัว
ปัจจัยที่ทำให้การค้าของสยามขยายตัวหลังระหว่างพ.ศ. 2420-2482 มีอยู่หลายประการ อาทิเช่น การที่สยามทำสนธิสัญญาการค้าเพื่อเปิดการค้าเสรีกับชาติตะวันตกอื่นๆ รวมถึงสหรัฐอเมริกา ทำให้มีตลาดการค้า และประเทศคู่ค้ามากขึ้น พัฒนาการของเทคโนโลยีที่นำมาใช้ในการคมนาคม ได้แก่ความสำเร็จในการสร้างเรือเดินสมุทรที่ใช้กลจักรไอน้ำซึ่งทำให้การขนส่งสินค้าทางทะเลรวดเร็วขึ้น สามารถขนส่งสินค้าขนาดใหญ่ และมีน้ำหนักสูงได้เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ ยังมีการขุดคลองสุเอซ เชื่อมระหว่างทะเลเมดิเตอร์เรเนียนกับมหาสมุทรอินเดีย ทำให้เส้นทางการเดินเรือระหว่างยุโรปกับเอเชียสั้นลงกว่าการเดินทางอ้อมทวีปแอฟริกา และในพ.ศ. 2414 มีการเชื่อมต่อสายไปรษณีย์โทรเลขมายังสิงคโปร์ และฮ่องกง และกระจายไปยังดินแดนอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมทั้งสยาม ก่อให้เกิดความสะดวกในการส่งข้อมูลข่าวสาร และการติดต่อซื้อขาย
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยสำคัญที่สุดที่ทำให้การค้าของสยามขยายตัวขึ้นอย่างมากได้แก่ความต้องการของตลาดโลกต่อสินค้าวัตถุดิบทางการเกษตร และแร่ธาตุที่ผลิตได้ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความต้องการนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุโรป และสหรัฐอเมริกาโดยเฉพาะการผลิตแผ่นดีบุก (tin plate) และกระป๋องดีบุก (tin can) สำหรับการถนอมอาหาร สยามเป็นประเทศหนึ่งที่ผลิตดีบุกออกสู่ตลาดโลก แต่การเติบโตของตลาดดีบุกส่งผลต่อการค้าของสยามในทางอ้อมมากกว่าทางตรง กล่าวคือ ความต้องการดีบุกทำให้กิจการเหมืองแร่ในดินแดนที่เป็นอาณานิคมของชาติตะวันตก เช่น มลายาของอังกฤษ (คือประเทศมาเลเซีย) และ เนเธอร์แลนด์ อีส อินดีส์ ของดัตช์(ปัจจุบันคือประเทศอินโดนีเซีย) ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้มีการอพยพเข้ามาของแรงงานชาวจีนเป็นจำนวนมาก ปีละประมาณไม่ต่ำกว่าแสนคนสิ่งที่ตามมาคือความต้องการข้าว และอาหารอื่นๆ เพื่อเลี้ยงแรงงานในอุตสาหกรรมการผลิตเพื่อส่งออกเหล่านี้ ข้าวของสยามจึงกลายเป็นสินค้าที่เป็นที่ต้องการทั้งในตลาดข้าวของตะวันตก และเอเชีย เช่นจีน และตลาดภายในภูมิภาค นอกจากดีบุก และข้าว การสร้างทางรถไฟในอินเดียทำให้มีความต้องการที่จะซื้อไม้สักจากสยามมากขึ้น และเมื่อถึงตอนต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 หรือปลายรัชกาลที่ 5 พัฒนาการของอุตสาหกรรมรถยนต์ในสหรัฐอเมริกาทำให้มีการนำยางพารามาปลูกในสยาม ซึ่งจะกลายเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญในราวทศวรรษ 2460 เป็นต้นมา
สยามได้ตอบสนองต่อความต้องการสินค้าของตลาดโลกด้วยการปรับปรุงประเทศให้ทันสมัย วางโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจต่างๆ เพื่อรองรับการผลิตเพื่อส่งออกแบบใหม่ ที่สำคัญได้แก่ การปฏิรูปการบริหารราชการให้รวมศูนย์ และมีประสิทธิภาพในการควบคุมนโยบายต่างๆ มากขึ้น การยกเลิกการค้าที่ผูกขาดโดยรัฐในระบบพระคลังสินค้า การยกเลิกระบบไพร่ และทาสเพื่อให้เกิดแรงงานเสรีที่จะเข้าสู่ระบบการผลิตเพื่อการตลาด ปรับปรุงการจัดเก็บภาษีอากร และการจัดทำงบประมาณ ปรับปรุงการคมนาคมทั้งทางบก และทางน้ำ จัดตั้งหน่วยงานภาครัฐขึ้นดูแลทรัพยากรที่ถูกแปรเปลี่ยนเป็นสินค้า เช่น กรมป่าไม้ และกรมราชโลหกิจ และภูมิวิทยา (เหมืองแร่) และวางนโยบายเกี่ยวกับการปฏิรูปที่ดินเป็นต้น
ความต้องการสินค้าของตลาดโลก และการตอบสนองของสยามทำให้แบบแผนการค้าของสยามเปลี่ยนไป ประการแรก สยามกลายเป็นประเทศที่ผลิตสินค้าออกเฉพาะทาง ดังที่กล่าวแล้วว่าก่อนการทำสนธิสัญญาเบาว์ริง มูลค่าการค้าส่งออกของสยามจะมาจากสินค้าส่งออกหลากหลายชนิดแต่หลังจากพ.ศ. 2420 สินค้าส่งออกหลักของสยามจะได้แก่ ข้าวจากแหล่งผลิตที่ราบลุ่มภาคกลาง ไม้สักจากทางเหนือ และดีบุกจากเหมืองแร่ทางภาคใต้ ข้าวส่วนใหญ่ที่มาจากที่ราบลุ่มภาคกลางจะส่งออกจากกรุงเทพฯ สู่สิงคโปร์ ประมาณ 4 ใน 5 ของไม้สักจะถูกส่งมาส่งออกที่กรุงเทพฯทางแม่น้ำเจ้าพระยา ที่เหลือจะออกขายที่เมืองท่าของพม่า ส่วนดีบุกจะส่งออกโดยตรงจากแหล่งผลิตทางใต้สู่ ปีนัง และสิงคโปร์ ระหว่าง พ.ศ. 2439-2482 สินค้าสามอย่างนี้มีมูลค่าส่งออกรวมกันเกิน 80% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด
ประการที่สอง ก่อนการทำสนธิสัญญาเบาว์ริง ตลาดการค้าหลักของสยามคือตลาดเอเชีย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การค้าของสยามจึงเรียกได้ว่าเป็นการค้าภายในภูมิภาค (regional-centered trade) แต่หลังจากนั้น บทบาททางการค้าของสยามจะมีเริ่มมีลักษณะคล้ายคลึงกับการค้าของรัฐอาณานิคมอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือเป็นผู้ส่งออกสินค้าวัตถุดิบไปยังตลาดตะวันตก และเอเชียผ่านเมืองท่าที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางแลกเปลี่ยนสินค้า (entrepot center) ได้แก่ สิงคโปร์ และฮ่องกง ในทางกลับกัน สยามก็จะเป็นตลาดรับซื้อสินค้าสำเร็จรูปจากประเทศอุตสาหกรรมตะวันตก อินเดีย และจีน
การค้าในลักษณะเช่นนี้เองที่ทำให้เศรษฐกิจของสยามผูกพันกับความต้องการของตลาดโลก และถูกบูรณการเข้าเป็นส่วนหนึ่งของระบบทุนนิยมโลกอย่างแน่นแฟ้นขึ้น