สมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวไทยต้องเริ่มเผชิญหน้ากับลัทธิจักรวรรดินิยมตะวันตกที่แพร่ขยายไปส่วนต่าง ๆ ของโลก ทำให้พระองค์ทรงตระหนักว่าไทยต้องยอมเปิดสัมพันธ์กับประเทศตะวันตกโดยการทำสนธิสัญญาในลักษณะใหม่ที่ทำให้ไทยต้อง “เสียอำนาจอธิปไตยทางการศาล” และมีเรื่อง “สิทธิสภาพนอกอาณาเขต” เกิดขึ้น สนธิสัญญาลักษณะใหม่ดังกล่าวนี้ คือ สนธิสัญญาเบาว์ริงที่ไทยทำกับอังกฤษ
ก่อนหน้าการทำสนธิสัญญาเบาว์ริงอังกฤษเคยเข้ามาขอเจรจาทำสนธิสัญญาทางไมตรี และการค้ากับสยามตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โดยส่งจอห์น ครอว์เฟิด เข้ามาเจรจาใน พ.ศ. 2364 แต่การเจรจาครั้งนั้นไม่สำเร็จ สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่อังกฤษส่งเฮนรี เบอร์นี เข้ามาอีกครั้งหนึ่ง การเจราจาครั้งนี้ประสบผลสำเร็จทั้งสองฝ่ายตกลงทำสนธิสัญญากันใน พ.ศ. 2369 แต่อังกฤษไม่พอใจเนื่องจากไทยไม่ได้ยกเลิกระบบพระคลังสินค้าและยังเก็บภาษีเพิ่มอีก 38 อย่าง อังกฤษพยายามเจราจาขอแก้ไขสนธิสัญญาหลายครั้งแต่ไม่ประสบผลสำเร็จ
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นครองราชย์ (พ.ศ 2394 – 2411) สมเด็จพระนางเจ้าวิกตอเรียแห่งอังกฤษทรงแต่งตั้งเซอร์ เบาว์ริง เป็นอัครราชทูตผู้มีอำนาจเต็มเชิญพระราชสาสน์มาเจรจาทำสนธิสัญญาทางไมตรีกับไทยในพ.ศ. 2398 การเจรจาครั้งนี้รัชกาลที่ 4 ทรงแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการฝ่ายสยาม 5 คน คือ พระเจ้าน้องยาเธอกรมหลวงวงศาธิราชสนิท สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิไชยญาติ เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์และเจ้าพระยารวิวงศ์ (ต่อมาเปลี่ยนเป็นทิพากรวงศ์) เป็นผู้แทนการเจรจา การเจรจาครั้งนี้ประสบความสำเร็จด้วยดี เนื่องจากรัชกาลที่ 4 ได้โปรดเกล้าฯให้เซอร์จอห์น เบาริงเข้าเฝ้าเพื่อเป็นการเจรจากันภายในก่อน ขณะเดียวกันสถานการณ์รอบด้านในเวลานั้น เช่น การที่จีนต้องยอมจำนนต่ออังกฤษในสงครามฝิ่น การที่อังกฤษยึดพม่าตอนใต้ได้ ทำให้ ร.4 ต้องเปลี่ยนนโยบายการติดต่อกับต่างประเทศจากที่เคยติดต่ออย่างระมัดระวังเป็นการยอมทำสนธิสัญญาตามเงื่อนไขตะวันตก และพยายามรักษาไมตรีนั้นไว้ให้ดีเพื่อความอยู่รอดของประเทศ
เซอร์จอห์น เบาว์ริง เกิดในครอบครัวนายพาณิชย์ที่มณฑลเดวอนไชร์ ในอังกฤษเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2335 เขาได้รับการศึกษาเป็นส่วนตัวขณะที่เริ่มต้นงานในบริษัทการค้าแห่งหนึ่งเมื่อ พ.ศ.2350 เขาพูดได้หลายภาษาเช่น ฝรั่งเศส สเปน อิตาลี โปรตุเกส เยอรมัน ดัตช์ และใช้ภาษาสวีเดน เดนมาร์ก รัสเซีย อาหรับ จีน ฯลฯ ได้คล่องพอสมควรเขามีธุรกิจของตนเองและสนใจในเรื่องการเมือง ปรัชญาและวรรณคดีด้วย ในพ.ศ.2390 เบาว์ริงได้รับการแต่งตั้งเป็นกงสุลประจำเมืองกวางตุ้งในประเทศจีนซึ่งเขาได้ทำหน้าที่อย่างโดดเด่น พ.ศ.2397 เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอัครราชทูตผู้มีอำนาจเต็มประจำประเทศจีน ซึ่งเท่ากับได้รับแต่งตั้งเป็นอัครราชทูตประจำราชสำนักของประเทศญี่ปุ่น สยาม เวียดนามและเกาหลี พร้อมกับดำรงตำแหน่งผู้ว่าการ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดและพลเรือโทของฮ่องกงด้วย หลังจากที่สมเด็จพระนางเจ้าวิกตอเรียทรงแต่งตั้งให้เขาเป็นอัศวินได้ไม่นานเขาก็มาอยู่ที่ฮ่องกง เบาว์ริงเป็นผู้ว่าการเมืองฮ่องกงและอัครราชทูตประจำประเทศจีนเป็นเวลา 9 ปี ภารกิจแรกสุดในบทบาททางการทูตของเขาคือ ภารกิจพิเศษในประเทศไทยหรือเป็นที่รู้จักกันดีในเวลาต่อมาคือการทำ “สนธิสัญญาเบาว์ริง” เมื่อพ.ศ.2398 ช่วงปลายรัชกาลที่ 4 และต้นรัชกาลที่ 5 เซอร์จอห์น เบาว์ริงได้รับแต่งตั้งเป็นอัครราชทูตไทยประจำลอนดอนและยุโรป ถือได้ว่าเป็น “ตัวแทนประจำคนแรกของไทย” มีบรรดาศักดิ์เป็น “พระยาสยามมานุกูลกิจ สยามมิตรมหายศ” เซอร์จอห์น เบาว์ริงถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2415 ขณะที่มีอายุ 80 ปี
สนธิสัญญาเบาว์ริงที่ลงนามในปี พ.ศ. 2398 นี้ได้กลายเป็นแม่แบบให้ประเทศต่าง ๆอีก 14 ประเทศเข้ามาทำสนธิสัญญาแบบเดียวกัน และไทยสามารถยกเลิกสนธิสัญญาไม่เสมอภาคนี้ได้เสร็จสิ้นสมบูรณ์เมื่อพ.ศ. 2481
ผลของสนธิสัญญาเบาว์ริงที่มีต่อไทยทางด้านการเมือง แม้การทำสนธิสัญญาครั้งนี้จะทำให้ไทยรอดพ้นจากการถูกอังกฤษใช้กำลังบังคับ แต่ไทยต้องเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขต หรือเสียอำนาจอธิปไตยทางการศาล
ผลของสนธิสัญญาเบาว์ริงที่มีต่อไทยด้านเศรษฐกิจไทยต้องเสียอำนาจอธิปไตยทางการค้าให้อังกฤษเพราะไม่มีสิทธิควบคุมการค้าได้อย่างแต่ก่อน ระบบผูกขาดของพระคลังสินค้าและระบบการเก็บภาษีสินค้าแบบเดิมที่ใช้วิธีวัดความกว้างของปากเรือต้องยกเลิกไปเหลือเพียงการเก็บภาษีขาเข้าได้ไม่เกินร้อยละ 3 และเก็บภาษีสินค้าขาออกได้ตามอัตราที่กำหนดไว้ในภาคผนวกของสัญญาเท่านั้น
อย่างไรก็ตามแม้ว่าสนธิสัญญาเบาว์ริงจะทำให้รายได้ของไทยสูญหายไปเป็นจำนวนมากจากการยกเลิกระบบผูกขาดของพระคลังสินค้า แต่สนธิสัญญาเบาว์ริงก็ทำให้เกิดการค้าเสรีในรูปแบบใหม่ และทำให้การผลิตเพื่อค้าเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีความต้องการจากต่างประเทศ โดยสินค้าที่ไทยผลิตเพื่อสนองความต้องการของตลาดภายนอกได้แก่ ข้าว ไม้สักและดีบุก