สารบัญ
กฎหมายและการยุติธรรมของไทยสมัยโบราณ
ความหมายของกฎหมาย

กฎหมาย คือที่รวมแห่งข้อยอมและข้อห้าม ซึ่งเป็นวิถีทางทำให้บุคคลที่ดำเนินชีวิตอยู่ในชุมชนแห่งใดแห่งหนึ่ง สามารถขวนขวายประกอบกิจการต่างๆเพื่อความเจริญก้าวหน้าของตนได้โดยอิสระกับทั้งโดยมิให้เป็นการกระทบกระเทือนต่อเสรีภาพของผู้อื่นที่อยู่ในชุมชนเช่นเดียวกับตน หรือถ้ากล่าวตามความหมายในพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 กฎหมายหมายถึง กฎที่สถาบันหรือผู้มีอำนาจสูงสุดในรัฐตราขึ้น หรือที่เกิดขึ้นจากจารีตประเพณีอันเป็นที่ยอมรับนับถือเพื่อใช้ในการบริหารประเทศ เพื่อใช้บังคับบุคคลให้ปฏิบัติตามหรือเพื่อกำหนดระเบียบแห่งความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลหรือระหว่างบุคคลกับรัฐ

คำว่ากฎหมาย สมัยโบราณกับปัจจุบันมีความต่างกัน สมัยโบราณกฎหมายคือ ธรรมะโดยถือว่ากฎหมายกับธรรมะเป็นเรื่องเดียวกัน แยกจาก กันไม่ได้ แต่ในปัจจุบัน กฎหมายคือสิ่งที่เกิดขึ้นจากกระบวนการนิติบัญญัติ คือการตรากฎหมายเป็นลายลักษณ์อักษร

กฎหมายสมัยสุโขทัย

กฎหมายสมัยสุโขทัยก็คือ หลักธรรมะและจารีตประเพณีในสังคม มีลักษณะเป็นแบบกฎหมายชาวบ้าน คือเป็นกฎเกณฑ์ที่เกิดขึ้นจากเหตุผลธรรมดาของสามัญชนหรือสามัญสำนึก เป็นความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่เกิดจากการประพฤติปฏิบัติติดต่อกันมาเป็นเวลานาน หลักฐานที่สะท้อนให้ เห็นกฎเกณฑ์บางประการในสังคมสุโขทัยปรากฏในศิลาจารึก เช่น เรื่องระบบกรรมสิทธิ์

“....สร้างป่าหมากป่าพลูทุกแห่ง ป่าพร้าวก็หลายในเมืองนี้ ป่าลางก็หลายในเมืองนี้ หมากม่วงก็หลายในเมืองนี้ หมากขามก็หลายในเมืองนี้ ใครสร้างได้ไว้แก่มัน...”

การตกทอดทรัพย์สินของบุคคลซึ่งมีลักษณะเป็นกฎหมายมรดก

“...ไพร่ฟ้าหน้าใส ลูกเจ้าขุนผู้ใดแล้ ล้มตาย หายกว่า เย่าเรือนพ่อเชื้อ เสื้อค้ามันช้าง ลูกเมียเยียข้าว ไพร่ฟ้าข้าไท ป่าหมาก ป่าพลู พ่อเชื้อมันไว้แก่ลูกมันสิ้น...”

เรื่องราวร้องทุกข์

“...ในปากประตูมีกระดิ่งอันหนึ่งแขวนไว้หั้น ไพร่ฟ้าหน้าปกกลางบ้านกลางเมือง มีถ้อยมีความเจ็บท้องข้องใจ มันจะกล่าวเถิ่งเจ้าเถิ่งขุนบ่ไร้ ไปสั่นกระดิ่งอันท่านแขวนไว้ พ่อขุนรามคำแหงเจ้าเมืองได้ยินเรียก เมื่อถามสวนความแก่มันด้วยซื่อ ไพร่ในเมืองสุโขทัยนี้จึ่งชม...”

กฎหมายสมัยอยุธยา

สมัยอยุธยาสังคมมีพัฒนาการที่ซับซ้อนขึ้นกว่าสมัยสุโขทัย สมัยนี้ปรากฏร่องรอยการรับอิทธิพลวัฒนธรรมอินเดียค่อนข้างชัดเจน รวมทั้งกฎหมาย กฎหมายแม่บทในสมัยอยุธยาคือ คัมภีร์พระธรรมศาสตร์มีที่มาจากอินเดียตามความเชื่อในศาสนาฮินดู โดยอยุธยารับผ่านมาทางมอญ ซึ่งนับถือศาสนาพุทธเช่นเดียวกัน คัมภีร์พระธรรมศาสตร์นี้คงเข้ามาสู่ดินแดนไทย ตั้งแต่ครั้งสุโขทัยแต่หลักฐานการนำมาใช้ปรากฏชัดเจนสมัยอยุธยา

หลักการใหญ่ในคัมภีร์พระธรรมศาสตร์กำหนดมูลคดีเป็น 2 ประเภท คือ มูลคดีแห่งผู้พิพากษาและตระลาการ 10 ประการ เป็นกฎหมายแม่ บทเกี่ยวกับอำนาจศาลและวิธีพิจารณาความ มูลคดีวิวาท 2 ประการ เป็นกฎหมายแม่บทที่กำหนดสิทธิและหน้าที่ของบุคคลที่เกิดกรณีพิพาทต่อ กัน รวมเป็นมูลคดีทั้งสิ้น 39 ประการ คัมภีร์พระธรรมศาสตร์กำหนดให้พระมหากษัตริย์นำมูลคดีทั้ง 39 ประการเป็นหลักในการบัญญัติสาขาคดีต่างๆ โดยสาขาคดีที่บัญญัติขึ้นนี้ต้องไม่ขัดแย้งกับหลักการในคัมภีร์พระธรรมศาสตร์

กฎหมายในสมัยอยุธยายังจำแนกกฎเกณฑ์เป็นพระไอยการหรือพระอัยการเฉพาะเรื่อง เช่น พระอัยการลักษณะผัวเมีย พระอัยการลักษณะวิวาทตีด่ากัน พระอัยการในสมัยอยุธยา หมายถึงกฎหมายพื้นฐานของแผ่นดิน ซึ่งทุกคนจะต้องปฏิบัติตามและหากมีปัญหาเกี่ยวกับพระอัยการ พระมหากษัตริย์ซึ่งมีหน้าที่ให้ความยุติธรรมจะต้องมีพระราชวินิจฉัย พระราชวินิจฉัยในแต่ละคดีเรียกว่า “พระราชบัญญัติ” พระราชบัญญัติ แต่ละมาตราจะอ้างมูลคดีเดิมเสมอ โดยทั่วไปพระราชบัญญัตินี้ใช้รัชกาลเดียวเท่านั้น ถ้าสิ้นรัชกาลพระราชบัญญัติก็เลิกไป แต่ถ้ากษัตริย์องค์ใหม่นำมาใช้ต่อก็จะเรียกใหม่ว่า “พระราชกำหนด”

ตัวอย่างเนื้อหาพระอัยการลักษณะผัวเมียและพระอัยการลักษณะวิวาทตีด่ากัน

“มาตราหนึ่ง ผู้ใดไปการณรงคสงครามก็ดี โดยเสด็จพระผู้เปนเจ้าก็ดี ไปราชการก็ดี อยู่พายหลังมีผู้มาทำชู้ด้วยเมียท่านไซ้ ให้ไหมทวีคูน”

“มาตราหนึ่ง คนทั้งหลายมีครรภก็ดี สัตว์เลี้ยงมีครรภก็ดี มีผู้ตีฟันแทงให้ตายไซ้ ท่านให้พิกัดค่าแม่มันเท่าใด ใช้ค่าลูกในท้องกึ่งค่า แม่มัน ด้วย แลจบาทไหมนั้นให้ไหมโดยพระราชกฤษฎีกา”

“มาตราหนึ่ง วิวาทร้องด่าเถียงกัน ผู้ใดออกไปจากที่แดนตน รุกเข้าไปถึงที่แดนท่านด่าตีกันไซ้ ท่านว่าผู้นั้นรุก ให้ไหมโดยพระราชกฤษฎีกา”

บุคคลที่ทำหน้าที่พิจารณาและตัดสินคดีประกอบด้วย
  • 1. ตระลาการ เป็นเจ้าของกระทรวงความ(อำนาจในการพิจารณาคดี) ทำหน้าที่สอบสวน รวบรวมพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงทั้งหมด แล้วส่งสำนวนให้ผู้พิพากษา การสืบพยานจะไปสืบที่บ้านพยาน ไม่ใช่มาที่ศาล
  • 2. ผู้พิพากษา ทำหน้าที่ชี้ข้อกฎหมายส่งให้ลูกขุน (ลูกขุนในความหมายเดิม หมายถึง ข้าราชการทั่วไป)
  • 3. ลูกขุน ผู้ชี้ขาดว่าฝ่ายใดชนะคดีและฝ่ายใดแพ้คดี
  • 4. ผู้ปรับ ทำหน้าที่กำหนดโทษหรือคำนวณเงินค่าสินไหมที่ผู้แพ้จะต้องเสีย
  • 5. พะทำมะรง ทำหน้าที่คอยตรวจตรามิให้ลูกความหลบหนี และมีหน้าที่สอบสวนข้อเท็จจริงและตรวจพิสูจน์บาดแผลกรณีที่เกิดคดีทำร้าย ร่างกายกัน รวมทั้งการไปดูที่เกิดเหตุกรณีทำร้ายกันจนเสียชีวิตด้วย
การเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมมีดังนี้
  • 1. โจทก์ประสงค์จะฟ้องความต้องไปร้องต่อว่าศาล
  • 2. จ่าศาลจดถ้อยคำเป็นหนังสือมอบให้พนักงานประทับฟ้อง
  • 3. พนักงานประทับฟ้องนำฟ้องปรึกษาลูกขุน ณ ศาลหลวง เพื่อตรวจและรับรองว่าฟ้องที่ถูกต้องและเป็นศาลกระทรวงใดพิจารณาคดีดังกล่าว
  • 4. ส่งฟ้องกับตัวโจทก์ไปศาลกระทรวงนั้น
  • 5. ตระลาการศาลนั้น หมายเรียกจำเลยมาถามคำให้การแล้วส่งคำฟ้อง/ คำให้การไปปรึกษาลูกขุนให้ชี้สองสถาน
  • 6. ลูกขุนตรวจคำฟ้อง/ คำให้การแล้วชี้สองสถานคือว่าข้อใดรับกัน/ ข้อใดต้องสืบพยานส่งให้ตระลาการสืบพยานตามคำลูกขุน
  • 7. ตระลาการสืบพยานเสร็จแล้วส่งสำนวนไปยังลูกขุน
  • 8. ลูกขุนพิจารณาสำนวนอธิบายความผิด ชี้ข้อกฎหมายและชี้ว่าฝ่ายใด แพ้คดีเพราะเหตุใด
  • 9. ตระลาการนำคำชี้ขาดของลูกขุนไปส่งยังผู้ปรับ
  • 10. ผู้ปรับวางโทษตามกฎหมายให้เหมาะสมกับคดีนั้น
  • 11. ส่งให้ตระลาการใช้บังคับ
  • 12. คู่ความไม่พอใจการพิจารณาของตระลาการทำการอุทธรณ์ตระลาการ หรือถวายฎีกาต่อพระเจ้าอยู่หัว (การอุทธรณ์สมัยนี้มีความหมาย ต่างกับปัจจุบัน การอุทธรณ์สมัยก่อนเป็นเรื่องการพิพาทระหว่างคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งกับผู้พิพากษาหรือตระลาการ เป็นการอุทธรณ์ในลักษณะ ฟ้องร้องกล่าวโทษผู้พิจารณาหรือส่งตัวตระลาการว่ากระทำผิดหน้าที่)
กฎหมายตราสามดวง

กฎหมายที่ใช้อยู่ในระยะแรกของกรุงรัตนโกสินทร์คือกฎหมายที่ใช้อยู่เมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยา โดยอาศัยความจำและการคัดลอกกันมา กฎหมายที่เหลืออยู่ครั้งนั้นมีเพียงหนึ่งในสิบส่วน ส่วนอีกเก้าส่วนถูกทำลายเมื่อเสียกรุงศรีอยุธยา ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหา ราชโปรดเกล้าฯให้นักปราชญ์ ราชบัณฑิตจำนวน 11 คน ชำระกฎหมาย เนื่องจากการบังคับใช้กฎหมายมีปัญหาทั้งเรื่องความลักลั่นในการตีความ กระบวนการพิจารณาคดี ตัวบทกฎหมายไม่ได้จัดหมวดหมู่ให้เหมาะสม หลังชำระกฎหมายพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชได้ประกาศใช้เป็นหลักแก่แผ่นดินเมื่อวันที่ 31 มกราคม จ.ศ. 1166 (พ.ศ. 2348) กฎหมายที่ชำระครั้งนั้นเรียกว่า “กฎหมายตราสามดวง”

กฎหมายตราสามดวง มีที่มาจากตราพระราชสีห์ ตราพระคชสีห์ และตราบัวแก้ว ที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯให้ปิดประทับลงบนประมวลกฎหมายใหม่ กฎหมายตราสามดวงเป็นกฎหมายมีอำนาจบังคับใช้ทั่วพระราชอาณาจักร เนื่องจาก ตราพระราชสีห์ เป็นตราของสมุหนายก มีอำนาจปกครองหัวเมืองฝ่ายเหนือ ตราพระคชสีห์ เป็นตราของสมุหกลาโหม มีอำนาจปกครองหัวเมืองฝ่ายใต้ ตราบัวแก้ว เป็นตราของเจ้าพระยาพระคลัง มีอำนาจปกครองหัวเมืองชายทะเลตะวันออก ตราประทับทั้งสามนี้มีความสำคัญมาก พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงกำหนดไว้ว่าต่อแต่นี้ไปเมื่อมีผู้นำพระราชกำหนดบทพระอัยการออกมาอ้างอิงพิพากษาคดีใดๆ ถ้าลูกขุนไม่เห็นตราประทับทั้งสามห้ามมิให้เชื่อฟัง

กฎหมายตราสามดวงประกอบด้วยเนื้อหา 2 ส่วน คือ กฎหมายเก่าที่ใช้มาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาและกฎหมายที่บัญญัติใหม่ครั้งรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้แก่ กฎพระสงฆ์ พระราชกำหนดใหม่ และพระราชบัญญัติ

องค์ประกอบหลักของกฎหมายตราสามดวงมี 3 ส่วน ได้แก่ พระธรรมศาสตร์ พระราชศาสตร์ และพระราชนิติธรรมศาสตร์(หมายถึง บทพระอัยการที่ไม่ได้ยึดมูลคดีตามพระธรรมศาสตร์ แต่เป็นกฎหมายฝ่ายบริหารปกครองกฎเกณฑ์เกี่ยวกับราชประเพณี กฎเกณฑ์เกี่ยวกับการปกครองดูแลสงฆ์ พระบรมราชวินิจฉัยอันเป็นบรรทัดฐานในอรรถคดีต่างๆ)

การรับกฎหมายจากตะวันตก
การที่ไทยต้องรับกฎหมายสมัยใหม่จากตะวันตกมาใช้มาจากเหตุผลใหญ่ๆ 2 ประการ คือ

1. ปัญหาสิทธิสภาพนอกอาณาเขต นับตั้งแต่ไทยต้องทำสนธิสัญญาเบาว์ริงกับประเทศอังกฤษ เมื่อพ.ศ. 2398 ทำให้ไทยเกิดข้อเสียเปรียบ ทางการศาล เนื่องจากสาระสำคัญประการหนึ่งในสนธิสัญญาว่าด้วยข้อตกลงเรื่องสิทธิสภาพนอกอาณาเขต คนต่างชาติที่ทำผิดในเมืองไทย ขอยกเว้นที่จะไม่ใช้กฎหมายไทยบังคับ โดยให้เหตุผลว่ากฎหมายไทยล้าสมัย นอกจากสนธิสัญญาเบาว์ริงที่ทำกับอังกฤษแล้ว ไทยยังต้องยอมทำสนธิ สัญญาในลักษณะเช่นนี้กับประเทศอื่นๆ อีก 14ประเทศ ซึ่งทำให้ไทยเสียเปรียบมาก จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ไทยต้องปฏิรูปกฎหมายและการศาล ใหม่ตามแบบตะวันตก

2. ความไม่เหมาะสมล้าสมัยของกฎหมายไทยเดิม เช่น กฎหมายสมัยใหม่ถือว่าทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกัน หรือเสมอภาคกัน แต่สังคมไทยในเวลานั้นยังมีทาสอยู่ การปฏิบัติต่อทาสนั้นถือว่าทาสเป็นทรัพย์สินของมูลนายหรือเจ้าของทาส หรือในเรื่องความคิดเกี่ยวกับกฎหมายอาญาและ วิธีพิจารณาความ ตามหลักกฎหมายใหม่ ถือว่าการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐจะจับกุมลงโทษบุคคลใดได้ จะต้องปรากฏว่าการกระทำนั้นมีกฎหมายบัญญัติไว้ชัดแจ้งว่าเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้ การพิจารณาคดีอาญาก็ต้องเป็นไปโดยคำนึงถึงศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ จะใช้วิธีจารีตนครบาลเป็นการทรมานร่างกายข่มขู่ให้รับสารภาพไม่ได้ ขณะที่สังคมไทยในเวลานั้นยังมีวิธีการปฏิบัติต่อผู้กระทำผิดแบบเดิม การลงโทษที่มีลักษณะรุนแรงและการพิจารณาคดีโดยใช้จารีตนครบาลยังคงมีอยู่ เรื่องเหล่านี้ทำให้ชาวต่างชาติถือเป็นข้อรังเกียจและเป็นข้ออ้างไม่ขึ้นศาลไทย

การปรับปรุงระบบกฎหมายตามแบบตะวันตก

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นผู้ริเริ่มปรับปรุงกฎหมายตามแบบตะวันตก สมัยของพระองค์ได้มีการประกาศใช้กฎหมายมากมายร่วม 500 ฉบับ กฎหมายที่ประกาศใช้ในเวลานั้น นอกจากจะเป็นการกำหนดกฎเกณฑ์เพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะเรื่องแล้ว ประกาศส่วนหนึ่ง แสดงถึงแนวพระราชดำริที่จะปรับเปลี่ยนความคิดของคนไทยให้ทัดเทียมอารยประเทศ เช่น ทรงออกประกาศยกเลิกประเพณีที่บิดามารดา หรือสามีขายบุตรภรรยา ลงเป็นทาสโดยเจ้าตัวไม่สมัครใจเพื่อนำเงินมาชำระหนี้

สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงเห็นข้อบกพร่องของระบบการศาลแบบเดิม และการที่ชาวต่างประเทศใช้ข้ออ้างเรื่องกฎหมายและการศาลไม่ยอมขึ้นศาลไทย จึงโปรดเกล้าฯให้ตั้งกระทรวงยุติธรรมเมื่อวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2434 ให้จัดระเบียบศาลใหม่ แยก อำนาจตุลาการเป็นอิสระจากอำนาจบริหาร รวมทั้งโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งโรงเรียนกฎหมายเพื่อสร้างบุคลากรให้มีความรู้ทางด้านกฎหมาย โดย เฉพาะความรู้เกี่ยวกับกฎหมายสมัยใหม่แบบตะวันตก การจัดทำกฎหมายสมัยใหม่แบบตะวันตกในระยะแรกเป็นการประกาศใช้กฎหมาย เป็นเรื่องๆ เช่น พระราชบัญญัติอั้งยี่ ร.ศ. 116 พระราชบัญญัติหมิ่นประมาท รศ. 118 หรือนำหลักกฎหมายต่างประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่คือกฎหมายอังกฤษมาใช้ในการพิพากษาคดี เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงกฎหมายทั้งหมด หรือจัดทำประมวลกฎหมายให้เป็นแบบสมัยใหม่เป็นเรื่องที่ ต้องใช้เวลานาน อย่างไรก็ตามอิทธิพลของกฎหมายอังกฤษค่อยๆลดความสำคัญลงเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตัดสินพระทัยเลือกระบบกฎหมายซีวิลลอร์ตามแบบประเทศภาคพื้นยุโรปเป็นแนวทางปฏิรูปกฎหมายของไทย

ประมวลกฎหมายฉบับแรกของไทยตามแบบตะวันตกคือ ประมวลกฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127 และหลังจากประกาศใช้เมื่อ พ.ศ. 2451 ในปีเดียวกันนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคณะกรรมการจัดทำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และประกาศใช้ครั้งแรกช่วงปลายรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

หนังสืออ่านเพิ่มเติม
- กฤษฏา บุณยสมิต. กฎหมายตราสามดวง : แว่นส่องสังคมไทย ผลงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ ลำดับที่ 2 กฎหมายตราสามดวง: การพิจารณาใหม่. กรุงเทพฯ : เฟื่องฟ้า, 2547.
- ร. แลงกาต์. ประวัติศาสตร์กฎหมายไทย เล่ม 1-2. กรุงเทพฯ : มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์, 2526.
- วินัย พงศ์ศรีเพียร. บรรณาธิการ. กฎหมายตราสามดวง : หน้าต่างสังคมไทย. กรุงเทพฯ : สามลดา, 2549.
- แสวง บุญเฉลิมวิภาส. ประวัติศาสตร์กฎหมายไทย. พิมพ์ครั้งที่ 7. กรุงเทพฯ : วิญญูชน, 2551.
หน้า จาก ๒๒ หน้า